ปริทัศน์หนังสือ
(Book Review)
ผีเสื้อและดอกไม้: นิพพานฯ. (๒๕๔๖). พิมพ์ครั้งที่ ๑๙. กรุงเทพฯ : ผีเสื้อ.
๒๗๖ หน้า. ราคา ๑๓๙ บาท.
อารัมภบท
วรรณกรรมเยาวชนเรื่องผีเสื้อและดอกไม้ มีเนื้อหาอิงมาจากเหตุการณ์จริงเมื่อ ๔๐ปีก่อน เกิดขึ้นในจังหวัดทางภาคใต้ มีการทำงานที่เรียกว่า “ขบวนการกองทัพมด” คือการลักลอบขนข้าวสารและน้ำตาลทราย โดยสารทางรถไฟไปขายที่ประเทศมาเลเซีย ทำให้เห็นสภาพการใช้ชีวิตของเด็กวัยรุ่น ที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อหาเงิน เรื่องราวต่างๆ ในเรื่องแฝงไปด้วยปรัชญาการใช้ชีวิตที่ต้องดิ้นรน อดทนต่อสู้กับความยากจน
เนื้อหาของเรื่องเสมือนเป็นการสะท้อนธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ที่ยากจน มีอยู่จริงทุกท้องที่ แต่กลับไม่มีใครสนใจยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ภายในเรื่องแฝงไปด้วยข้อคิดต่างๆ มากมาย ชวนให้ผู้อ่าน คิดตาม และคอยเป็นกำลังใจให้ฮูยัน ด้วยภาษาที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงาม เนื้อหาสมจริง ผู้อ่านสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร สภาพความเป็นอยู่ การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และความรักความอบอุ่นภายในครอบครัวสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจที่เข้มแข็งของฮูยัน
ชีวิตตัวละครในเรื่องผู้แต่งบรรยายได้อย่างเหมาะสม ดูไม่เป็นการแต่งเรื่องตามจินตนาการเกินไป ชวนค้นหาบั้นปลายชีวิตของวัยรุ่นกลุ่มนี้อย่างใจจดใจจ่อ ชีวิตผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังบินไปหาดอกไม้ ท่ามกลางแสงที่มืดหม่น จะพบจุดจบอย่างที่ผู้อ่านหลายๆ ท่านไม่อาจคาดการณ์ได้
แม้ว่าจะเป็นหนังสือที่มีมานานแล้ว แต่เนื้อหาในเรื่องยังคงให้ข้อคิดและสะท้อนสภาพสังคม ในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน ทั้งปัญหาด้านการศึกษา ปัญหาความยากจนที่ยังหาทางออกไม่ได้ ความไม่ยุติธรรมในสิทธิของความเป็นมนุษย์ การไม่เคารพกฎหมายของพนักงานข้าราชการ การเอารัดเอาเปรียบจากบุคคลที่ฐานะมีอันจะกิน ทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น ในแง่คิดที่ว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกจะเป็นได้ แต่สำหรับคนจนๆ อย่างฮูยันเลือกเกิดไม่ได้ และไม่มีหนทางให้เขาได้เลือกเดินด้วยซ้ำ
วรรณกรรมเรื่องนี้เป็นผลงานของ นิพพานฯ หรือ มกุฏ อรฤดี ได้สร้างสรรค์ผลงานเมื่อปี ๒๕๑๘ ได้รับรางวัลหนังสือแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๒๑และได้รับคัดเลือกให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ก็ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองบทประพันธ์ยอดเยี่ยมและรางวัลอื่นๆ รวม ๗ รางวัล
เนื้อหาสาระโดยสังเขป
ครอบครัวของปุนจา เป็นชาวมุสลิมอยู่ในจังหวัดชายแดนใต้ติดกับประเทศมาเลเซีย มีฐานะยากจน อาศัยอยู่ในที่ดินวัดปลูกกระต๊อบอยู่ ครอบครัวมีสมาชิกทั้งหมด ๔ คน ประกอบด้วย ปุนจา หัวหน้าครอบครัว อายุ ๕๐ ปีกว่า มีอาชีพเป็นกรรมกรรับจ้างแบกของที่สถานีรถไฟ และลูกๆ อีก ๓ คน คือ ฮูยัน-ลูกชายคนโต ดุนญา-ลูกชายคนรอง และ อาเครญาหรือ อารยา-ลูกสาวคนเล็ก ภรรยาเสียชีวิตเมื่อคลอดลูกสาวคนเล็กออกมา
ฮูยันเป็นเด็กเรียนดี มีโอกาสจะได้รับทุนศึกษาต่อ แต่อายุเกินเกณฑ์ ฮูยันจึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนทั้งที่เพิ่งเรียนจบชั้น ป.๔ เพื่อมาขายไอศกรีมหาเงินช่วยพ่อส่งน้อง ๒ คนเรียนหนังสือ ช่วงปิดภาคเรียนฮูยันก็ยังขายไอศกรีมอย่างต่อเนื่องแต่ว่ารายได้ไม่ดีเท่าช่วงเปิดเทอม จนวันหนึ่งได้เจอกับ มิมปี เพื่อนชั้นเดียวกัน ทั้งสองนั่งคุยกันเพลิน โดยไม่ได้สังเกตรถไฟที่เคลื่อนขบวนออกแล้ว ทำให้ฮูยันติดรถไฟไปกับมิมปี ปุนจาจึงออกตามหาลูกชายและประสบอุบัติเหตุถูกรถไปชน ทำให้ขาหักข้างหนึ่ง ไม่สามารถทำงานได้เช่นเดิม ฮูยันจึงต้องหางานใหม่ที่มีรายได้ดีกว่าเดิม เพื่อหาลี้ยงครอบครัว
มิมปีได้แนะนำงานใหม่ให้ฮูยันทำ นั่นคือ การลักลอบขนข้าวสารและน้ำตาลทรายไปกับขบวนรถไฟ ส่งขายที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีเพื่อนร่วมงานอีกสองคนคือ อาเดลและนาฆาซึ่งจะได้เงินมากกว่าขายไอศกรีมไปวันๆ แต่ต้องเสี่ยงชีวิตและเป็นงานที่ผิดกฎหมาย
จุดเปลี่ยนชีวิตของฮูยันคือ การตายของเพื่อนร่วมงานชื่อ นาฆา ที่พลัดตกจากรถไฟ ทำให้ฮูยันเห็นว่าการทำอาชีพนี้ต่อไป สักวันหนึ่งเขาอาจจะเสียชีวิตหรือถูกตำรวจจับก็ได้ เขากังวลว่า ถ้าหากเขาตายแล้วพ่อกับน้องๆ จะอยู่อย่างไร มิมปีจึงเสนอให้ฮูยันไปปลูกดอกไม้ขาย ซึ่งเป็นงานที่สุจริต เนื้อเรื่องจบอย่างสุขนาฏกรรม ทั้งมิมปีและฮูยันกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เหมือนกับชีวิตของผีเสื้อ ที่บินได้อย่างอิสระ และบินไปหาสิ่งสวยงามได้เสมอ
เป็นอิสลามแต่อยู่ที่วัด
ครอบครัวของปุนจาเป็นชาวมุสลิม มาอาศัยอยู่ในที่วัดปลูกกระต๊อบ เพราะไม่มีที่ทำกินเป็นของตัวเอง ก่อนหน้านั้นครอบครัวของปุนจา ต้องระเหเร่ร่อนเป็นเวลานาน กว่าจะหาที่พักและที่ทำงานได้เป็นหลักแหล่ง
ในตอนแรกนั้นใครๆ ก็มองว่าไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา ที่มุสลิมอาศัยอยู่ในวัดไทย แต่ถ้ามองตามหลักความเป็นจริง ปุนจาคิดว่าแต่ละคนย่อมมีเหตุผลและมีความแตกต่างกันก็ไม่ถือว่าผิด ด้วยความลำบากทำให้เขาไม่คิดถึงเรื่องศาสนา คิดเพียงว่าอีกไม่นานคนเหล่านั้นก็จะหยุดพูดถึงกันเอง
ผู้แต่งต้องการสื่อให้รับรู้ว่าอดีตของครอบครัวปุนจาไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาหยิบยกพูดถึง แต่สิ่งสำคัญคือพวกเขาจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรในอนาคต
บทเรียนชีวิต
ฮูยันหาอาชีพเสริมเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระพ่อและส่งเสียให้น้อง ๒ คนได้เรียนหนังสืออาชีพสุจริตที่ฮูยันเลือกทำในตอนแรกคือขายไอศกรีม แม้จะมีรายได้ไม่มากนัก แต่สำหรับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ยากจนและยังไม่ได้เผชิญชีวิตกับโลกภายนอก ยังไม่มีโอกาสสัมผัสกับเงินมากๆ กำไรเล็กๆ น้อยๆ จากการขายไอศกรีมจึงเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเขามาก ฮูยันเติบโตมาโดยมีพ่อเป็นผู้ให้ความรู้ในบทเรียนที่สำคัญของเขา ปุนจาค่อยๆ สอนบทเรียนชีวิตที่ไม่มีในหนังสือให้ฮูยัน นอกจากพ่อของเขาเป็นเหมือนครูแล้ว น้องชายของเขาคือดุนญา ก็เป็นผู้ชี้แนะว่าเขายังขาดความรู้ที่ไม่มีในหนังสือเรียนและห้องเรียน ดุนญาสอนให้ฮูยันเรียนรู้ชีวิตภายนอกห้องเรียนซึ่งเป็นชีวิตจริงๆ ที่ไม่ใช่ทฤษฎีในหนังสือเรียน
การดิ้นรนต่อสู้เป็นสิ่งจำเป็นของคนที่ด้อยโอกาสทางสังคม ความลำบากถูกส่งไปเป็นทอดแก่คนรุ่นหลัง เช่น ครอบครัวของฮูยัน ฮูยันและน้องอีก ๒ คน รับช่วงความลำบาก ความยากจนมาจากบรรพบุรุษ ต้องเรียนรู้ชีวิตกันตั้งแต่เด็ก ขาดโอกาสที่พึงได้รับจากสังคม เช่น การศึกษา ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาสังคมอย่างมากทีเดียว เด็กเหล่านี้อาจจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหาหรือถ้าขาดจิตสำนึกที่ดี ความวุ่นวายของสังคมจึงไม่จบไม่สิ้นเสียที แต่สำหรับฮูยันและน้องๆ คงห่างไกลจากเรื่องเหล่านี้ เพราะทุกคนได้รับการปลูกฝังมาอย่างดีจากผู้เป็นพ่อ
จุดเปลี่ยนชีวิต
เหตุการณ์ที่พ่อถูกรถไฟชนจนขาหัก เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของฮูยัน คือฮูยันต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะเปลี่ยนอาชีพมาทำงานขนข้าวสาร เขายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อหาเงินมารักษาพ่อและให้น้องๆ ได้เรียนหนังสือ จากเด็กชายเรียนดีต้องกลายมาเป็นเด็กค้าของเถื่อน เปลี่ยนแปลงตนเองตามสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ เปลี่ยนการแต่งกาย สูบบุหรี่ตามเพื่อน ฮูยันอายุเพียง ๑๓ปี แต่ภาระหน้าที่ของเขาชั่งหนักหนาเหลือเกิน และคิดว่าเป็นงานที่ไม่เหมาะกับเด็กวัยนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ เพราะสภาพสังคมและความไม่ยุติธรรมของชีวิตที่เป็นตัวบังคับให้เขาต้องเดินทางผิด
“ทำไมหนอ- - - ฮูยันเริ่มคิด สมองของเขาสับสนวุ่นวายไปหมด ทุกสิ่งมันประดังกันเข้ามา เหมือนผึ้งแตกออกจากรังกรูเกรียวอย่างไม่เป็นระเบียบ ทำไมเรื่องร้ายจะต้องจำเพาะมาอยู่ที่ครอบครัวของเขา ทำไมมันไม่เกิดขึ้นกับคนอื่นบ้าง?”
เหตุการณ์นี้ชั่งเป็นเรื่องเลวร้ายในชีวิตของตัวละครมาก ครอบครัวนี้โชคร้ายที่เกิดมาจนไม่มีหนทางจะทำมาหากินเท่าคนอื่นๆ แล้วยังต้องมาประสบอุบัติเหตุซ้ำเติมความรันทดเข้าไปอีก แล้วจะมีหนทางใดให้ฮูยันได้เลือกเดินอีก นอกจากเลือกทำงานที่ผิดกฎหมายเพื่อแลกกับเงินมารักษาพ่อฮูยันเป็นตัวแทนของเด็กยากจนคนหนึ่ง ที่มีความกตัญญูต่อบุพการี เมื่อถึงคราวยากลำบาก หมดปัญญาหาทางออกจริงๆ เขาต้องยอมทำงานทุกอย่างเพื่อพ่อ ชีวิตของพ่อเขานั้นมีค่ามากพอที่จะแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีอยู่ หากพ่อของเขาต้องตายไป ไม่มีอะไรจะมาทดแทนพ่อของเขาได้เลย เขาไม่รู้เลยว่าจะมีใครที่ดีเท่าพ่อของเขาอีก
ความหนักหน่วงในความรับผิดชอบของฮูยันเพิ่มขึ้นเมื่อต้องกลายเป็นเสาหลักสำคัญของครอบครัวในการทำมาหากิน แต่ฮูยันก็ยังไม่ท้อต่อชะตาชีวิตตัวเอง ความมุ่งมั่นและอดทนที่มีอยู่ในตัวเขาเริ่มปรากฏออกมาให้ได้เห็นจากการทำงานนี้
คนตายสอนคนเป็น
วันหนึ่งฮูยันได้มีโอกาสรับรู้ความจริงในใจของเพื่อนคนหนึ่ง คือนาฆา บอกกับฮูยันว่าอยากจะเลิกทำอาชีพนี้ เพราะชีวิตต้องเผชิญกับความเสี่ยงตลอดเวลา และมันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายด้วย ฮูยันก็เห็นด้วยแต่ยังไม่ตัดสินใจทันทีว่าจะเลิกอาชีพนี้ เพราะยังมองไม่เห็นลู่ทางทำมาหากินแทนอาชีพนี้ได้ การเข้ามาทำอาชีพนี้อย่างเต็มตัวทำให้รับรู้ว่าในสังคมมีแต่คนทำผิดกฎหมาย ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเอง สังคมจึงได้เสื่อมโทรมลงไปทุกวัน ความคิดของนาฆาเป็นสิ่งที่สำคัญช่วยเตือนสติฮูยัน ทำให้ ฮูยันคิดถึงพ่อกับน้องที่อยู่บ้าน คนที่บ้านยังจำเป็นต้องใช้เงิน เขาเองยังมีเงินเก็บไม่มากนัก แต่เขาคิดว่าสักวันหนึ่งเขาก็จะเลิกทำอาชีพนี้
การตายของนาฆาเพื่อนร่วมงานของฮูยัน จากการพลัดตกรถไฟเสียชีวิต เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของฮูยัน ผู้แต่งใช้กลวิธีให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของฮูยันกับนาฆามาถึงทางเลือกในการตัดสินใจ ทำให้ฮูยันได้กลับตัวเป็นคนดี เลิกทำอาชีพที่ผิดกฎหมายต่อไป ทำให้ฮูยันคิดได้ว่า ชีวิตของคนเราก็ไม่แน่นอน หากเขายังทำงานนี้ต่อไป สักวันหนึ่งคงเกิดเหตุการณ์แบบนาฆา
ผู้แต่งใช้ความตายของนาฆาเป็นตัวพลิกผันชีวิตของฮูยันให้กลับไปเดินทางที่ถูกต้อง เมื่อนาฆาเสียชีวิตลง ฮูยันก็มีทางออกเลิกทำงานที่ผิดกฎหมาย เขาหางานอาชีพใหม่ทำ คือการปลูกดอกไม้ตามคำแนะนำของมิมปี คนเรามักจะไม่รู้ตัวเมื่อความลำบากเข้ามาในชีวิต เราต้องหาวิธีให้ตัวเองรอดพ้นจากความยากลำบากให้ได้ จนลืมนึกถึงความถูกต้อง
จากที่ได้กล่าวมา ทำให้เห็นว่าคนสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตฮูยันคือนาฆา แม้ว่านาฆาจะตายก่อนเวลาอันสมควร แต่เหตุการณ์นี้เหมือนกับบทเรียนคนตายสอนคนเป็น การตายของนาฆาสอนให้ฮูยันและเพื่อนร่วมอาชีพเห็นความสำคัญของชีวิต แต่ความตายไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด การผจญภัยอันโหดร้ายครั้งสุดท้ายของนาฆานี้ เป็นตัวเชื่อมไปสู่จุดจบของเรื่องได้อย่างงดงาม
ผีเสื้อกำลังบินไปหาสิ่งสวยงาม
หลังจากที่นาฆาตาย ฮูยันก็เลิกทำอาชีพผิดกฎหมายทันที แล้วเปลี่ยนมาปลูกต้นไม้ตามคำแนะนำของมิมปี โดยมิมปีเสนอตัวเองเป็นคนรับดอกไม้ไปขายให้เรื่องราวของเรื่องจบแบบสุขนาฏกรรม ซึ้งสอดคล้องกับชื่อเรื่องคือ “ผีเสื้อและดอกไม้”
“รถยนต์โดยสารประจำทางแล่นออกมานอกเมือง สองข้างทางเป็นป่า ฮูยันมองออกไปข้างนอก เขารู้สึกเหมือนว่า ตัวเองกำลังเป็นผีเสื้อน้อยตัวหนึ่ง ที่กำลังโบยบินไปหาดอกไม้แสนสวย- - - ”
แสดงให้เห็นถึงความสุข อิสรภาพ ความงดงาม และความถูกต้อง เพื่อตอกย้ำว่าชีวิตของคนเราต้องได้พบกับสิ่งสวยงามบ้าง ไม่ใช่จมอยู่แต่กับความทุกข์ระทมเสมอไป เช่นเดียวกับชีวิตของฮูยันและมิมปี เขาไม่จำเป็นต้องทำงานผิดกฎหมายเสี่ยงอันตรายอีกต่อไป อาชีพปลูกต้นไม้ขายจะเป็นหนทางที่สร้างความสุขให้พวกเขาได้อย่างแท้จริง
และวันนี้ผีเสื้อทั้งสองตัวกำลังโบยบินไปหาดอกไม้ที่สวยงามแล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ได้พบเจอ
ความเห็นต่อ ผีเสื้อและดอกไม้
“นิพพานฯ” เป็นนักเขียนที่มีความสามารถในการสร้างงานวรรณกรรมได้ดีผู้หนึ่ง โดยเฉพาะการเลือกเอาปัญหาของคนยากจนมานำเสนอได้อย่างมีคุณค่า มองเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งปัญหาด้านการศึกษา เศรษฐกิจ ศาสนาและวัฒนธรรมได้อย่างประณีต โดยอาศัยมาจากประสบการณ์ในเหตุการณ์จริง ผสานกับจินตนาการของผู้แต่ง สอดแทรกความรู้ด้านประเพณีและวัฒนธรรมของชาวมุสลิมเข้าไป ซึ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละท้องถิ่น
วรรณกรรมเยาวชนเรื่องผีเสื้อและดอกไม้ มีเนื้อหาอิงมาจากเหตุการณ์จริงเมื่อ ๔๐ ปีก่อน เกิดขึ้นในจังหวัดทางภาคใต้ มีการทำงานที่เรียกว่า “ขบวนการกองทัพมด” คือการลักลอบขนข้าวสารและน้ำตาลทราย โดยสารทางรถไฟไปขายที่ประเทศมาเลเซีย ทำให้เห็นสภาพการใช้ชีวิตของเด็กวัยรุ่น ที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อหาเงิน เรื่องราวต่างๆ ในเรื่องแฝงไปด้วยปรัชญาการใช้ชีวิต ที่ต้องดิ้นรน อดทนต่อสู้กับความยากจน
ชีวิตตัวละครในเรื่องผู้แต่งบรรยายได้อย่างเหมาะสม ดูไม่เป็นการแต่งเรื่องตามจินตนาการเกินไป ชวนค้นหาบั้นปลายชีวิตของวัยรุ่นกลุ่มนี้อย่างใจจดใจจ่อ ชีวิตผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังบินไปหาดอกไม้ ท่ามกลางแสงที่มืดหม่น จะพบจุดจบอย่างที่ผู้อ่านหลายๆ ท่านไม่อาจคาดการณ์ได้
สะท้อนให้เห็นถึงแง่คิดในการดำเนินชีวิตของคนยากจนในสังคมที่ถูกมองข้ามจากคนส่วนใหญ่ การดำรงชีวิตในสถานะคนยากจนและเป็นคนต่างศาสนา ความสำคัญด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสถานะทางสังคม
ฉากในเรื่องนี้อิงมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เหตุที่ผู้แต่งได้หยิบยกเอามาเป็นฉากหลังของเรื่องทั้งหมด เพราะในขณะนั้นมีขบวนการลักลอบนำน้ำตาลทรายและข้าวสารไปขายที่ประเทศมาเลเซีย ด้วยความที่ผู้แต่งเองเป็นคนอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา จึงมองเห็นเหตุการณ์นี้ และให้ความสำคัญกับกลุ่มชนเล็กๆ แล้วนำมาถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับรู้เรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นชาย
ผู้แต่งได้กระตุ้นให้ผู้อ่านตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตที่อยู่ในภาวะปัญหาสังคม โดยเฉพาะปัญหาด้านความยากจนและการศึกษาที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางสังคม คุณค่าด้านการศึกษาที่ทำให้ผู้อ่านตระหนักได้ว่า การศึกษากำลังเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน โดยมีสาเหตุมาจากความยากจน และมีค่านิยมส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้แต่ภายในห้องเรียน จนลืมไปว่า การเรียนรู้ไม่ได้เกิดแต่เพียงในห้องเรียนเท่านั้น แล้วเด็กที่ไม่มีโอกาสรับการศึกษาก็ย่อมหมดหนทางทำมาหากินตามไปด้วย แสดงให้เห็นถึงความไม่เสมอภาคกันของมนุษย์ที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีคุณค่าด้านอื่นๆ แฝงไปด้วย เช่น คุณธรรม การมีน้ำใจต่อคนรอบข้าง แม้ว่าตนเองจะมีฐานะยากจน แต่การแบ่งปันนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงิน แต่อยู่ที่จิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความมีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คุณค่าด้านวัฒนธรรมประเพณีและศาสนาที่ผู้แต่งได้หยิบยกเอาประเพณีที่สำคัญสำหรับชาวไทยมุสลิมมาเสนอให้ผู้อ่านได้รับรู้ ทำให้เห็นว่าแต่ละท้องถิ่นย่อมมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป แล้วตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นในจังหวัดทางภาคใต้ที่ประชาชนส่วนมากเป็นชาวไทยมุสลิม จึงนำเสนอประเพณีประจำถิ่น เพื่อให้เรื่องดูสมจริงและชวนผู้อ่านเพลิดเพลินไปกับงานที่ยิ่งใหญ่และสวยงามเช่นนี้