แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิจารณ์นวนิยาย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิจารณ์นวนิยาย แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

อาม่าบนคอนโด

อาม่าบนคอนโด


          อาม่าบนคอนโด วรรณกรรมสำหรับเยาวชน แต่งโดย ชมัยพร แสงกระจ่าง นำเสนอเรื่องราวของคนสองคนที่ช่วงวัยต่างกัน คือเด็กวัยรุ่น และ คนแก่  ระหว่างโลกปัจจุบันที่เร่งรีบและเห็นแก่ตัวของโชคและอาม่าผู้ผ่านเรื่องราวต่างๆของชีวิตมาอย่างมากมาย สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคม ทำให้เราเข้าใจสภาพสังคมปัจจุบันได้มากขึ้น
       ยุคปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตอย่างมาก เป็นยุคสมัยแห่งความเร่งรีบ มีการแข่งขันสูง ทำให้คนส่วนมากถือตัวเองเป็นศูนย์กลางหลักในการดำเนินชีวิต จึงเกิดความแตกต่างและอคติ ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจกันและปัญหาต่างๆตามมา อย่างเช่นในเรื่อง อาม่าบนคอนโด ตัวละคร โชค เด็กชายผู้ไม่สนใจใคร ไม่สนว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้าไม่เกี่ยวกับตนก็จะไม่ใส่ใจ สนใจแต่ตนเองและทำในสิ่งที่ตนอยากทำเท่านั้น  โชคถือเป็นตัวแทนของคนสมัยปัจจุบัน เมื่อสังคมเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีต่างๆเข้ามามีบทบาทแทนที่คนรอบข้างมากขึ้น คนเราจึงให้ความสำคัญกับคนรอบข้างน้อยลงและเห็นแก่ตัวมากขึ้น ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีควรมีขอบเขตที่เหมาะสมและใช้ในสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่านั้น ควรมีเวลาให้คนรอบข้างได้ปรึกษา พูดคุย หรือทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันมากขึ้น รู้จักมองโลกให้กว้างขึ้น ไม่เป็นคนที่มีใจคับแคบ ควรรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเห็น ประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนประโยน์ส่วนตน
       อาม่าบนคอนโด นอกจากสะท้อนให้เห็นภาพสังคมในปัจจุบันแล้ว ยังทำให้เราเข้าใจคนทั้งสองวัยนี้มากขึ้น แต่ก่อน คนแก่และเด็กจะอยู่ร่วมกัน สังคมของเราสมัยก่อนเป็นเช่นนั้น คนแก่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากก็จะคอยบอกคอยสอนในสิ่งที่ดีๆให้เด็ก เมื่อก่อนเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร ทำให้เด็กเข้าใจชีวิตมากขึ้น ควรปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเหมาะสม ทำอย่างไรคนอื่นถึงจะรักใคร่เอ็นดู สิ่งเหล่านี้จึงทำให้สองวัยนี้ผูกผันกัน แต่ในยุคปัจจุบัน เด็กและคนแก่ต่างคนต่างอยู่โดยเฉพาะในสังคมเมือง คนแก่จากที่เคยมีคนมาดูแลเอาใจใส่ก็ต้องดูแลตัวเอง ทำมาหากินเอาตัวรอดด้วยตนเองต้องเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวตามลำพัง ถ้าไม่อย่างนั้นก็ถูกส่งไปบ้านพักคนชรา เพราะลูกหลานไม่มีเวลาเลี้ยงดู ทำให้คนแก่อยู่ในสภาพเหมือนถูกทอดทิ้ง ไม่มีความสุขอย่างเคย ส่วนเด็กยุคปัจจุบันก็ให้ความสำคัญเฉพาะตนเอง วันนี้เราจะทำอะไร จะกินอะไรดี จะไปเที่ยวไหนดี ไม่คิดถึงคนรอบข้าง ความใกล้ชิดจึงลดน้อยหายไป สิ่งนี้ควรได้รับการปลูกฝังจากผู้ปกครองและคนรอบข้างแต่เด็ก ถ้าไม่อย่างนั้น คนที่จะถูกทอดทิ้งคนต่อไปอาจเป็นผมหรือคุณก็ได้
     คนเราจะมีความสุขได้นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตของเรานั่นเอง "อาม่าบนคอนโด" มีหลายแง่มุมที่ทำให้เราเห็นการใช้ชีวิตของคนมากขึ้น บางคนมีชีวิตที่เร่งรีบ ไม่ค่อยมีเวลาให้ใคร เช่น ขวัญ พี่ของโชค ที่ตื่นมาก็ต้องไปทำงานแต่เช้ากลับอีกทีก็ดึก บางคนก็ใส่ใจเฉพาะตนเอง เช่น โชค บางคนก็ผิดหวังกับชีวิตครอบครัว เช่น น้าดวงทิพย์ บางคนก็พยายามต่อสู้ชีวิตด้วยตนเอง เช่น อาม่า เป็นต้น คนเราแต่ละคนมีชีวิตไม่เหมือนกัน มีทั้งเรื่องทุกข์และสุขปะปนกันไป แต่สิ่งที่ทำให้เขาทั้งหลายในเรื่องนี้มีความสุขและเข้าใจชีวิตมากขึ้น คือ การดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีมิตรไมตรีให้กัน แม้แต่โชค ที่เอาใจใส่แต่ตัวเอง เมื่อถูกปลูกฝังจากพี่และสังคมรอบข้างมากเข้า เขาก็ปรับตัวและเป็นเด็กดีในที่สุด
   สังคมในปัจจุบัน เป็นสังคมแห่งการแข่งขัน เป็นยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมาก สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้คนเปลี่ยนไป วิถีชีวิตที่เคยเรียบง่าย การพึ่งพาอาศัยกัน เลื่อนหายไป ปัญหาสังคมจึงเกิดขึ้น เมื่อยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง คนที่ถูกเลยมีแต่ตัวเองคนรอบข้างที่เคยดีต่อกันก็ผิดไปหมดเพียงความคิดเห็นต่างกัน เพราะฉะนั้นเราจึงควรใส่ใจต่อบุคคลรอบข้างให้มากขึ้น ใส่ใจสังคมรอบข้าง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน กลับมาพึ่งพาอาศัยกันอย่างก่อน มีปัญหาควรปรึกษาพูดคุยกันไม่ใช่จ้องทำร้ายกัน สามัคคีปรองดอง ปัญหาต่างๆก็จะหมดไป เมื่อเราพัฒนาตัวเองได้แล้ว ประเทศชาติย่อมพัฒนาและก้าวหน้าอย่างแน่นอน
ปล.เด็กน้อย

        

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ปริทัศน์หนังสือ (Book Review)

ปริทัศน์หนังสือ
(Book  Review)






ผีเสื้อและดอกไม้: นิพพานฯ. (๒๕๔๖). พิมพ์ครั้งที่ ๑๙. กรุงเทพฯ : ผีเสื้อ.
๒๗๖ หน้า. ราคา ๑๓๙ บาท.


อารัมภบท
วรรณกรรมเยาวชนเรื่องผีเสื้อและดอกไม้ มีเนื้อหาอิงมาจากเหตุการณ์จริงเมื่อ ๔๐ปีก่อน เกิดขึ้นในจังหวัดทางภาคใต้ มีการทำงานที่เรียกว่า ขบวนการกองทัพมด คือการลักลอบขนข้าวสารและน้ำตาลทราย โดยสารทางรถไฟไปขายที่ประเทศมาเลเซีย ทำให้เห็นสภาพการใช้ชีวิตของเด็กวัยรุ่น ที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อหาเงิน เรื่องราวต่างๆ ในเรื่องแฝงไปด้วยปรัชญาการใช้ชีวิตที่ต้องดิ้นรน อดทนต่อสู้กับความยากจน
เนื้อหาของเรื่องเสมือนเป็นการสะท้อนธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ที่ยากจน มีอยู่จริงทุกท้องที่  แต่กลับไม่มีใครสนใจยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ภายในเรื่องแฝงไปด้วยข้อคิดต่างๆ มากมาย ชวนให้ผู้อ่าน  คิดตาม และคอยเป็นกำลังใจให้ฮูยัน ด้วยภาษาที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงาม เนื้อหาสมจริง ผู้อ่านสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร สภาพความเป็นอยู่ การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และความรักความอบอุ่นภายในครอบครัวสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจที่เข้มแข็งของฮูยัน
ชีวิตตัวละครในเรื่องผู้แต่งบรรยายได้อย่างเหมาะสม ดูไม่เป็นการแต่งเรื่องตามจินตนาการเกินไป ชวนค้นหาบั้นปลายชีวิตของวัยรุ่นกลุ่มนี้อย่างใจจดใจจ่อ ชีวิตผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังบินไปหาดอกไม้ ท่ามกลางแสงที่มืดหม่น จะพบจุดจบอย่างที่ผู้อ่านหลายๆ ท่านไม่อาจคาดการณ์ได้
แม้ว่าจะเป็นหนังสือที่มีมานานแล้ว แต่เนื้อหาในเรื่องยังคงให้ข้อคิดและสะท้อนสภาพสังคม  ในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน ทั้งปัญหาด้านการศึกษา ปัญหาความยากจนที่ยังหาทางออกไม่ได้ ความไม่ยุติธรรมในสิทธิของความเป็นมนุษย์ การไม่เคารพกฎหมายของพนักงานข้าราชการ การเอารัดเอาเปรียบจากบุคคลที่ฐานะมีอันจะกิน ทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น ในแง่คิดที่ว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกจะเป็นได้ แต่สำหรับคนจนๆ อย่างฮูยันเลือกเกิดไม่ได้ และไม่มีหนทางให้เขาได้เลือกเดินด้วยซ้ำ
            วรรณกรรมเรื่องนี้เป็นผลงานของ นิพพานฯ หรือ มกุฏ อรฤดี ได้สร้างสรรค์ผลงานเมื่อปี ๒๕๑๘ ได้รับรางวัลหนังสือแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๒๑และได้รับคัดเลือกให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ก็ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองบทประพันธ์ยอดเยี่ยมและรางวัลอื่นๆ รวม ๗ รางวัล



เนื้อหาสาระโดยสังเขป
ครอบครัวของปุนจา เป็นชาวมุสลิมอยู่ในจังหวัดชายแดนใต้ติดกับประเทศมาเลเซีย มีฐานะยากจน อาศัยอยู่ในที่ดินวัดปลูกกระต๊อบอยู่ ครอบครัวมีสมาชิกทั้งหมด ๔  คน ประกอบด้วย ปุนจา หัวหน้าครอบครัว อายุ ๕๐ ปีกว่า มีอาชีพเป็นกรรมกรรับจ้างแบกของที่สถานีรถไฟ  และลูกๆ อีก ๓ คน คือ ฮูยัน-ลูกชายคนโต ดุนญา-ลูกชายคนรอง และ  อาเครญาหรือ อารยา-ลูกสาวคนเล็ก ภรรยาเสียชีวิตเมื่อคลอดลูกสาวคนเล็กออกมา
ฮูยันเป็นเด็กเรียนดี มีโอกาสจะได้รับทุนศึกษาต่อ แต่อายุเกินเกณฑ์ ฮูยันจึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนทั้งที่เพิ่งเรียนจบชั้น ป.๔ เพื่อมาขายไอศกรีมหาเงินช่วยพ่อส่งน้อง ๒ คนเรียนหนังสือ ช่วงปิดภาคเรียนฮูยันก็ยังขายไอศกรีมอย่างต่อเนื่องแต่ว่ารายได้ไม่ดีเท่าช่วงเปิดเทอม จนวันหนึ่งได้เจอกับ มิมปี เพื่อนชั้นเดียวกัน ทั้งสองนั่งคุยกันเพลิน โดยไม่ได้สังเกตรถไฟที่เคลื่อนขบวนออกแล้ว ทำให้ฮูยันติดรถไฟไปกับมิมปี ปุนจาจึงออกตามหาลูกชายและประสบอุบัติเหตุถูกรถไปชน ทำให้ขาหักข้างหนึ่ง ไม่สามารถทำงานได้เช่นเดิม ฮูยันจึงต้องหางานใหม่ที่มีรายได้ดีกว่าเดิม เพื่อหาลี้ยงครอบครัว
มิมปีได้แนะนำงานใหม่ให้ฮูยันทำ นั่นคือ การลักลอบขนข้าวสารและน้ำตาลทรายไปกับขบวนรถไฟ ส่งขายที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีเพื่อนร่วมงานอีกสองคนคือ อาเดลและนาฆาซึ่งจะได้เงินมากกว่าขายไอศกรีมไปวันๆ แต่ต้องเสี่ยงชีวิตและเป็นงานที่ผิดกฎหมาย 
จุดเปลี่ยนชีวิตของฮูยันคือ การตายของเพื่อนร่วมงานชื่อ นาฆา ที่พลัดตกจากรถไฟ ทำให้ฮูยันเห็นว่าการทำอาชีพนี้ต่อไป สักวันหนึ่งเขาอาจจะเสียชีวิตหรือถูกตำรวจจับก็ได้ เขากังวลว่า ถ้าหากเขาตายแล้วพ่อกับน้องๆ จะอยู่อย่างไร มิมปีจึงเสนอให้ฮูยันไปปลูกดอกไม้ขาย ซึ่งเป็นงานที่สุจริต เนื้อเรื่องจบอย่างสุขนาฏกรรม ทั้งมิมปีและฮูยันกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เหมือนกับชีวิตของผีเสื้อ ที่บินได้อย่างอิสระ และบินไปหาสิ่งสวยงามได้เสมอ


เป็นอิสลามแต่อยู่ที่วัด
           ครอบครัวของปุนจาเป็นชาวมุสลิม มาอาศัยอยู่ในที่วัดปลูกกระต๊อบ เพราะไม่มีที่ทำกินเป็นของตัวเอง ก่อนหน้านั้นครอบครัวของปุนจา ต้องระเหเร่ร่อนเป็นเวลานาน กว่าจะหาที่พักและที่ทำงานได้เป็นหลักแหล่ง
ในตอนแรกนั้นใครๆ ก็มองว่าไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา ที่มุสลิมอาศัยอยู่ในวัดไทย แต่ถ้ามองตามหลักความเป็นจริง ปุนจาคิดว่าแต่ละคนย่อมมีเหตุผลและมีความแตกต่างกันก็ไม่ถือว่าผิด ด้วยความลำบากทำให้เขาไม่คิดถึงเรื่องศาสนา คิดเพียงว่าอีกไม่นานคนเหล่านั้นก็จะหยุดพูดถึงกันเอง
ผู้แต่งต้องการสื่อให้รับรู้ว่าอดีตของครอบครัวปุนจาไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาหยิบยกพูดถึง แต่สิ่งสำคัญคือพวกเขาจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรในอนาคต


บทเรียนชีวิต
ฮูยันหาอาชีพเสริมเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระพ่อและส่งเสียให้น้อง ๒ คนได้เรียนหนังสืออาชีพสุจริตที่ฮูยันเลือกทำในตอนแรกคือขายไอศกรีม แม้จะมีรายได้ไม่มากนัก แต่สำหรับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ยากจนและยังไม่ได้เผชิญชีวิตกับโลกภายนอก ยังไม่มีโอกาสสัมผัสกับเงินมากๆ กำไรเล็กๆ น้อยๆ จากการขายไอศกรีมจึงเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเขามาก ฮูยันเติบโตมาโดยมีพ่อเป็นผู้ให้ความรู้ในบทเรียนที่สำคัญของเขา ปุนจาค่อยๆ สอนบทเรียนชีวิตที่ไม่มีในหนังสือให้ฮูยัน นอกจากพ่อของเขาเป็นเหมือนครูแล้ว น้องชายของเขาคือดุนญา ก็เป็นผู้ชี้แนะว่าเขายังขาดความรู้ที่ไม่มีในหนังสือเรียนและห้องเรียน ดุนญาสอนให้ฮูยันเรียนรู้ชีวิตภายนอกห้องเรียนซึ่งเป็นชีวิตจริงๆ ที่ไม่ใช่ทฤษฎีในหนังสือเรียน
การดิ้นรนต่อสู้เป็นสิ่งจำเป็นของคนที่ด้อยโอกาสทางสังคม ความลำบากถูกส่งไปเป็นทอดแก่คนรุ่นหลัง เช่น ครอบครัวของฮูยัน ฮูยันและน้องอีก ๒ คน รับช่วงความลำบาก ความยากจนมาจากบรรพบุรุษ ต้องเรียนรู้ชีวิตกันตั้งแต่เด็ก ขาดโอกาสที่พึงได้รับจากสังคม เช่น การศึกษา ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาสังคมอย่างมากทีเดียว เด็กเหล่านี้อาจจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหาหรือถ้าขาดจิตสำนึกที่ดี ความวุ่นวายของสังคมจึงไม่จบไม่สิ้นเสียที  แต่สำหรับฮูยันและน้องๆ คงห่างไกลจากเรื่องเหล่านี้ เพราะทุกคนได้รับการปลูกฝังมาอย่างดีจากผู้เป็นพ่อ

จุดเปลี่ยนชีวิต
เหตุการณ์ที่พ่อถูกรถไฟชนจนขาหัก เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของฮูยัน คือฮูยันต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะเปลี่ยนอาชีพมาทำงานขนข้าวสาร เขายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อหาเงินมารักษาพ่อและให้น้องๆ ได้เรียนหนังสือ จากเด็กชายเรียนดีต้องกลายมาเป็นเด็กค้าของเถื่อน เปลี่ยนแปลงตนเองตามสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ เปลี่ยนการแต่งกาย สูบบุหรี่ตามเพื่อน ฮูยันอายุเพียง ๑๓ปี แต่ภาระหน้าที่ของเขาชั่งหนักหนาเหลือเกิน และคิดว่าเป็นงานที่ไม่เหมาะกับเด็กวัยนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ เพราะสภาพสังคมและความไม่ยุติธรรมของชีวิตที่เป็นตัวบังคับให้เขาต้องเดินทางผิด
ทำไมหนอ- - - ฮูยันเริ่มคิด สมองของเขาสับสนวุ่นวายไปหมด ทุกสิ่งมันประดังกันเข้ามา เหมือนผึ้งแตกออกจากรังกรูเกรียวอย่างไม่เป็นระเบียบ ทำไมเรื่องร้ายจะต้องจำเพาะมาอยู่ที่ครอบครัวของเขา ทำไมมันไม่เกิดขึ้นกับคนอื่นบ้าง?

เหตุการณ์นี้ชั่งเป็นเรื่องเลวร้ายในชีวิตของตัวละครมาก ครอบครัวนี้โชคร้ายที่เกิดมาจนไม่มีหนทางจะทำมาหากินเท่าคนอื่นๆ แล้วยังต้องมาประสบอุบัติเหตุซ้ำเติมความรันทดเข้าไปอีก แล้วจะมีหนทางใดให้ฮูยันได้เลือกเดินอีก นอกจากเลือกทำงานที่ผิดกฎหมายเพื่อแลกกับเงินมารักษาพ่อฮูยันเป็นตัวแทนของเด็กยากจนคนหนึ่ง ที่มีความกตัญญูต่อบุพการี เมื่อถึงคราวยากลำบาก หมดปัญญาหาทางออกจริงๆ เขาต้องยอมทำงานทุกอย่างเพื่อพ่อ ชีวิตของพ่อเขานั้นมีค่ามากพอที่จะแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีอยู่ หากพ่อของเขาต้องตายไป ไม่มีอะไรจะมาทดแทนพ่อของเขาได้เลย เขาไม่รู้เลยว่าจะมีใครที่ดีเท่าพ่อของเขาอีก
ความหนักหน่วงในความรับผิดชอบของฮูยันเพิ่มขึ้นเมื่อต้องกลายเป็นเสาหลักสำคัญของครอบครัวในการทำมาหากิน แต่ฮูยันก็ยังไม่ท้อต่อชะตาชีวิตตัวเอง ความมุ่งมั่นและอดทนที่มีอยู่ในตัวเขาเริ่มปรากฏออกมาให้ได้เห็นจากการทำงานนี้


คนตายสอนคนเป็น
วันหนึ่งฮูยันได้มีโอกาสรับรู้ความจริงในใจของเพื่อนคนหนึ่ง คือนาฆา บอกกับฮูยันว่าอยากจะเลิกทำอาชีพนี้ เพราะชีวิตต้องเผชิญกับความเสี่ยงตลอดเวลา และมันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายด้วย ฮูยันก็เห็นด้วยแต่ยังไม่ตัดสินใจทันทีว่าจะเลิกอาชีพนี้ เพราะยังมองไม่เห็นลู่ทางทำมาหากินแทนอาชีพนี้ได้ การเข้ามาทำอาชีพนี้อย่างเต็มตัวทำให้รับรู้ว่าในสังคมมีแต่คนทำผิดกฎหมาย ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเอง สังคมจึงได้เสื่อมโทรมลงไปทุกวัน ความคิดของนาฆาเป็นสิ่งที่สำคัญช่วยเตือนสติฮูยัน ทำให้ ฮูยันคิดถึงพ่อกับน้องที่อยู่บ้าน คนที่บ้านยังจำเป็นต้องใช้เงิน เขาเองยังมีเงินเก็บไม่มากนัก แต่เขาคิดว่าสักวันหนึ่งเขาก็จะเลิกทำอาชีพนี้
การตายของนาฆาเพื่อนร่วมงานของฮูยัน จากการพลัดตกรถไฟเสียชีวิต เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของฮูยัน  ผู้แต่งใช้กลวิธีให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของฮูยันกับนาฆามาถึงทางเลือกในการตัดสินใจ ทำให้ฮูยันได้กลับตัวเป็นคนดี เลิกทำอาชีพที่ผิดกฎหมายต่อไป ทำให้ฮูยันคิดได้ว่า ชีวิตของคนเราก็ไม่แน่นอน หากเขายังทำงานนี้ต่อไป สักวันหนึ่งคงเกิดเหตุการณ์แบบนาฆา
ผู้แต่งใช้ความตายของนาฆาเป็นตัวพลิกผันชีวิตของฮูยันให้กลับไปเดินทางที่ถูกต้อง เมื่อนาฆาเสียชีวิตลง ฮูยันก็มีทางออกเลิกทำงานที่ผิดกฎหมาย เขาหางานอาชีพใหม่ทำ คือการปลูกดอกไม้ตามคำแนะนำของมิมปี คนเรามักจะไม่รู้ตัวเมื่อความลำบากเข้ามาในชีวิต เราต้องหาวิธีให้ตัวเองรอดพ้นจากความยากลำบากให้ได้ จนลืมนึกถึงความถูกต้อง
จากที่ได้กล่าวมา ทำให้เห็นว่าคนสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตฮูยันคือนาฆา แม้ว่านาฆาจะตายก่อนเวลาอันสมควร แต่เหตุการณ์นี้เหมือนกับบทเรียนคนตายสอนคนเป็น การตายของนาฆาสอนให้ฮูยันและเพื่อนร่วมอาชีพเห็นความสำคัญของชีวิต แต่ความตายไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด การผจญภัยอันโหดร้ายครั้งสุดท้ายของนาฆานี้ เป็นตัวเชื่อมไปสู่จุดจบของเรื่องได้อย่างงดงาม

            ผีเสื้อกำลังบินไปหาสิ่งสวยงาม
            หลังจากที่นาฆาตาย ฮูยันก็เลิกทำอาชีพผิดกฎหมายทันที แล้วเปลี่ยนมาปลูกต้นไม้ตามคำแนะนำของมิมปี โดยมิมปีเสนอตัวเองเป็นคนรับดอกไม้ไปขายให้เรื่องราวของเรื่องจบแบบสุขนาฏกรรม ซึ้งสอดคล้องกับชื่อเรื่องคือ ผีเสื้อและดอกไม้

รถยนต์โดยสารประจำทางแล่นออกมานอกเมือง สองข้างทางเป็นป่า ฮูยันมองออกไปข้างนอก เขารู้สึกเหมือนว่า ตัวเองกำลังเป็นผีเสื้อน้อยตัวหนึ่ง ที่กำลังโบยบินไปหาดอกไม้แสนสวย- - - ”

แสดงให้เห็นถึงความสุข อิสรภาพ ความงดงาม และความถูกต้อง เพื่อตอกย้ำว่าชีวิตของคนเราต้องได้พบกับสิ่งสวยงามบ้าง ไม่ใช่จมอยู่แต่กับความทุกข์ระทมเสมอไป เช่นเดียวกับชีวิตของฮูยันและมิมปี เขาไม่จำเป็นต้องทำงานผิดกฎหมายเสี่ยงอันตรายอีกต่อไป อาชีพปลูกต้นไม้ขายจะเป็นหนทางที่สร้างความสุขให้พวกเขาได้อย่างแท้จริง
และวันนี้ผีเสื้อทั้งสองตัวกำลังโบยบินไปหาดอกไม้ที่สวยงามแล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ได้พบเจอ
ความเห็นต่อ ผีเสื้อและดอกไม้
นิพพานฯ เป็นนักเขียนที่มีความสามารถในการสร้างงานวรรณกรรมได้ดีผู้หนึ่ง โดยเฉพาะการเลือกเอาปัญหาของคนยากจนมานำเสนอได้อย่างมีคุณค่า มองเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งปัญหาด้านการศึกษา เศรษฐกิจ ศาสนาและวัฒนธรรมได้อย่างประณีต โดยอาศัยมาจากประสบการณ์ในเหตุการณ์จริง ผสานกับจินตนาการของผู้แต่ง สอดแทรกความรู้ด้านประเพณีและวัฒนธรรมของชาวมุสลิมเข้าไป ซึ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละท้องถิ่น
วรรณกรรมเยาวชนเรื่องผีเสื้อและดอกไม้ มีเนื้อหาอิงมาจากเหตุการณ์จริงเมื่อ ๔๐ ปีก่อน เกิดขึ้นในจังหวัดทางภาคใต้ มีการทำงานที่เรียกว่า ขบวนการกองทัพมดคือการลักลอบขนข้าวสารและน้ำตาลทราย โดยสารทางรถไฟไปขายที่ประเทศมาเลเซีย ทำให้เห็นสภาพการใช้ชีวิตของเด็กวัยรุ่น ที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อหาเงิน เรื่องราวต่างๆ ในเรื่องแฝงไปด้วยปรัชญาการใช้ชีวิต ที่ต้องดิ้นรน อดทนต่อสู้กับความยากจน
ชีวิตตัวละครในเรื่องผู้แต่งบรรยายได้อย่างเหมาะสม ดูไม่เป็นการแต่งเรื่องตามจินตนาการเกินไป ชวนค้นหาบั้นปลายชีวิตของวัยรุ่นกลุ่มนี้อย่างใจจดใจจ่อ ชีวิตผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังบินไปหาดอกไม้ ท่ามกลางแสงที่มืดหม่น จะพบจุดจบอย่างที่ผู้อ่านหลายๆ ท่านไม่อาจคาดการณ์ได้
สะท้อนให้เห็นถึงแง่คิดในการดำเนินชีวิตของคนยากจนในสังคมที่ถูกมองข้ามจากคนส่วนใหญ่ การดำรงชีวิตในสถานะคนยากจนและเป็นคนต่างศาสนา ความสำคัญด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสถานะทางสังคม 
ฉากในเรื่องนี้อิงมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เหตุที่ผู้แต่งได้หยิบยกเอามาเป็นฉากหลังของเรื่องทั้งหมด เพราะในขณะนั้นมีขบวนการลักลอบนำน้ำตาลทรายและข้าวสารไปขายที่ประเทศมาเลเซีย ด้วยความที่ผู้แต่งเองเป็นคนอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา จึงมองเห็นเหตุการณ์นี้ และให้ความสำคัญกับกลุ่มชนเล็กๆ แล้วนำมาถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับรู้เรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นชาย
ผู้แต่งได้กระตุ้นให้ผู้อ่านตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตที่อยู่ในภาวะปัญหาสังคม โดยเฉพาะปัญหาด้านความยากจนและการศึกษาที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางสังคม คุณค่าด้านการศึกษาที่ทำให้ผู้อ่านตระหนักได้ว่า การศึกษากำลังเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน โดยมีสาเหตุมาจากความยากจน และมีค่านิยมส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้แต่ภายในห้องเรียน จนลืมไปว่า การเรียนรู้ไม่ได้เกิดแต่เพียงในห้องเรียนเท่านั้น แล้วเด็กที่ไม่มีโอกาสรับการศึกษาก็ย่อมหมดหนทางทำมาหากินตามไปด้วย แสดงให้เห็นถึงความไม่เสมอภาคกันของมนุษย์ที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน

นอกจากนี้ยังมีคุณค่าด้านอื่นๆ แฝงไปด้วย เช่น คุณธรรม การมีน้ำใจต่อคนรอบข้าง แม้ว่าตนเองจะมีฐานะยากจน แต่การแบ่งปันนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงิน แต่อยู่ที่จิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความมีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คุณค่าด้านวัฒนธรรมประเพณีและศาสนาที่ผู้แต่งได้หยิบยกเอาประเพณีที่สำคัญสำหรับชาวไทยมุสลิมมาเสนอให้ผู้อ่านได้รับรู้ ทำให้เห็นว่าแต่ละท้องถิ่นย่อมมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป แล้วตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นในจังหวัดทางภาคใต้ที่ประชาชนส่วนมากเป็นชาวไทยมุสลิม จึงนำเสนอประเพณีประจำถิ่น เพื่อให้เรื่องดูสมจริงและชวนผู้อ่านเพลิดเพลินไปกับงานที่ยิ่งใหญ่และสวยงามเช่นนี้


                                                                                         




                                                                                                                                   ปล.แก้มย้วย

วิจารณ์ เรื่อง การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักไม่อาจเยียวยา

เรื่อง การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักไม่อาจเยียวยา

สิ่งใดจะแทนรักได้
ความรักที่ผิดหวัง คงไม่มีใครต้องการพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้แน่นอน เพราะทุกคนล้วนต้องการความรักที่สมบูรณ์แบบ ความรักที่สมหวัง ความรักที่สามารถสร้างความสุขให้กับชีวิตได้ แต่จะมีสักกี่คนที่ได้พบกับความรักที่งดงามเช่นนี้ และมีอีกกี่คนต้องพบกับความรักที่มีแต่ความเจ็บปวดฝังใจ หากวันหนึ่งเราต้องพบกับความรักที่ผิดหวัง ดั่งคมมีดกรีดลงผิวบาดลึกไปถึงทรวงใน เราคงนอนร้องไห้คร่ำครวญแทบบ้าคลั่ง จนไม่เหลือเค้าโครงของความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดนั้นจะสูญสลายไปตามกาลเวลา เหลือเพียงรอยแผลเป็นที่ไม่มียาตัวใดรักษาให้หายได้ บางคนอาจทนรับความเจ็บปวดไม่ไหว จนต้องหาทางออกโดยวิธีการในแบบฉบับตัวเอง เพื่อกอบกู้ความรักให้กลับมางดงามดังเดิม
การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักไม่อาจเยียวยา ผลงานของ อรุณวดี   อรุณมาศ นักเขียนหญิงของวงการวรรณกรรมไทย เป็นหนังสือที่ผ่านเข้ารอบหกเล่มสุดท้ายรางวัลซีไรต์ปี พ.ศ. 2540 เป็นนวนิยายเชิงจิตวิเคราะห์มนุษย์ในสถานการณ์อันตีบตัน มีความโดดเด่นด้านความรุนแรงทางอารมณ์ เนื้อหาสะท้อนปัญหาสังคมที่เกิดจากครอบครัว ทำให้เห็นสภาพจิตใจของเด็กผู้หญิงที่เกิดมาท่ามกลางความไม่ต้องการของคนในครอบครัว
สำหรับนวนิยายเรื่องแรกของเธอเล่มนี้ เราไม่กล้ายืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง แต่ทุกประโยค ทุกถ้อยคำที่เธอนำมาเรียบเรียงร้อยไว้ ล้วนแต่พุ่งกระแทกสู่ความรู้สึกอย่างรุนแรง- รุนแรง จนเราสามารถมองเห็นภาพความตายไหวยะเยือกอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะหลับตาหลบหรือสั่นหน้าปฏิเสธ แต่เราจะวางใจได้หรือว่าสิ่งนี้ไม่ได้มีอยู่จริงในสังคม
                                                                                คำนำสำนักพิมพ์
การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักไม่อาจเยียวยาหรือแล้วแต่ผู้อ่านท่านอื่นๆจะเรียก ความรักไม่อาจเยียวยา เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับคำว่าไม่มีใครต้องการ มักจะมีคนพูดกรอกหูเธอเสมอว่าแม่ต้องการจะทำแท้งเอาเธอออก เธอไม่เคยเจอหน้าพ่อที่แท้จริงของเธอ มีพี่สาวร่วมสายเลือดเดียวกันอยู่หนึ่งคน แต่กลับไม่เคยได้อยู่ร่วมกัน จนหาความผูกพันระหว่างพี่กับน้องไม่ได้เลย ชีวิตในวัยเด็กต้องย้ายบ้านไปอยู่กับญาติพี่น้องคนอื่นๆ อยู่เสมอ ในขณะที่แม่ต้องไปทำงานต่างประเทศ ทำให้เธอกลายเป็นเด็กขาดความรัก ความอบอุ่นจากพ่อและแม่ มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเกลียดชัง และเติบโตมากับความรุนแรงของคนในครอบครัว เมื่อแม่กลับมาแล้วพาเธอไปอยู่กับพ่อ แต่เธอไม่สามารถเรียกพ่อได้เต็มปาก ไม่สามารถเข้าไปกอดได้เหมือนพ่อลูกคู่อื่นๆ เพราะญาติพี่น้องของพ่อไม่มีคนยอมรับให้เธอเป็นลูกหลานบ้านนี้ พ่อมักจะใช้เธอไปจับสัตว์เล็กสัตว์น้อย เพื่อนำมาเป็นอาหารให้นกที่พ่อเลี้ยงไว้ เป็นการปลูกฝังให้เธอต้องพบกับการทารุณและโหดร้ายตั้งแต่เด็กเมื่อเธอทำอะไรไม่ถูกใจ พ่อมักจะลงโทษ และด่าทอด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ซึ่งแตกต่างจากพี่สาวของเธออย่างสิ้นเชิง เพราะพ่อให้ความรัก ความสนใจกับพี่สาวมากเกินไป จนลืมว่าพ่อก็มีลูกสาวอีกหนึ่งคน
ความรู้สึกที่เธอถูกปฏิเสธไม่เป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้าง สะสมมาจนกระทั่งเธอโตเป็นสาว ขณะนี้แล้วก็ยังไม่มีใครให้ความสำคัญกับเธอเลย ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเข้ามาแทนที่ความอบอุ่นจากพ่อและแม่ ทำให้เธอเลือกเดินทางผิด หันไปพึ่งสารเสพย์ติด โดยเริ่มจากยานอนหลับก่อน แล้วเพิ่มฤทธิ์ยาขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้กลายเป็นคนติดยานอนหลับ เธอต้องการเรียกร้องความสนใจจากแม่ ด้วยการทำร้ายตัวเองโดยวิธีที่วิตถารคล้ายกับคนโรคจิต เป็นวิธีที่น่าสยดสยองและสะอิดสะเอียนความเจ็บปวดครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกได้ว่า เธอยังมีชีวิตอยู่เพื่อรอคอยความรักจากแม่
นวนิยายเรื่องนี้ ไม่ได้มีการกำหนดชื่อตัวละคร มีเพียงแต่ ฉันเป็นตัวดำเนินเรื่อง กลวิธีในการเล่าเรื่อง ผู้แต่งเป็นคนกำหนดให้ตัวละครเล่าเรื่องของตัวเองสลับไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน เหมือนกับการเขียนบันทึกประจำวันบอกเล่าเรื่องของตนเอง เป็นการเปิดปมตัวละครไปเรื่อยๆ ว่าเพราะเหตุใด ฉันต้องทำร้ายร่างกายและจิตใจของตนเองถึงขนาดนี้ นอกจากนั้นแล้ว เธอไม่ได้ทำร้ายแค่ตัวเองเท่านั้น ยังทำร้ายจิตใจของคนเป็นแม่ด้วย เธอรู้อยู่แก่ใจว่าการที่เธอทำแบบนี้แล้วแม่จะต้องร้องไห้เสียใจ แต่เธอก็ยังทำเพื่อความรักที่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้สัมผัสสักครั้ง
ฉากหลังของเรื่องคือครอบครัวที่ไม่อบอุ่น คนในครอบครัวขาดภาวะของการเป็นผู้ปกครองที่ดี แยกทางกันอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับชื่อเรื่อง คือ การล่มสลายของสถาบันครอบครัวฯในเรื่องนี้ผู้แต่งเน้นที่ฉากและบรรยากาศของเรื่อง ซึ่งแต่งได้อย่างโดดเด่นและเห็นภาพชัดเจนเกิดอารมณ์ร่วมกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ชวนสะอิดสะเอียนไปกับกลิ่นคาวเลือด ฉากที่ผู้แต่งบรรยายได้เห็นภาพชัดเจนสำหรับผู้อ่าน คือฉากที่ตัวละครเอกทำร้ายตัวเองด้วยการปล่อยให้เลือดไหลออกมาทางสายน้ำเกลือแล้วนำมาดื่ม ขณะที่อ่านรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา คล้ายกับว่าผู้อ่านเป็นคนดื่มเลือดเข้าไปเอง ผู้แต่งได้ดึงความรู้สึกของผู้อ่านเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเรื่อง สร้างความกดดันและสลดใจให้กับผู้อ่าน ทำให้คล้อยตามและชวนพะอืดพะอมไปในเวลาเดียวกัน
บรรยากาศเหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นกับความตายให้ความรู้สึกที่หดหู่สิ้นหวัง เป็นคนไร้ความหมาย ทั้งที่ศักดิ์ศรีความเป็นคนมีเท่ากัน แต่สำหรับเธอนั้น ดูเหมือนจะเป็นเพียงมารหัวขนที่เป็นผลพลอยได้จากกามารมณ์เท่านั้น ไม่ได้มีความหมายใดๆต่อคนในครอบครัวเลย
พื้นฐานของมนุษย์ทุกชีวิตล้วนเติบโตและถูกหล่อหลอมมาจากพฤติกรรมที่มีอยู่ในสังคม โดยสถาบัน ครอบครัวคือสถาบันที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน คนในครอบครัวควรให้ความรัก อบรมสั่งสอนมีการปลูกฝังแต่สิ่งที่ดีงาม เป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กได้ยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เพื่อจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสมบูรณ์เพียบพร้อมไปทุกด้าน ทั้งด้านการศึกษา สติปัญญาและจิตใจ
การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักไม่อาจเยียวยา เป็นหนังสือที่ตีแผ่ด้านมืดในจิตใจของมนุษย์ ที่หลายๆคนไม่เคยเจอหรือสัมผัสมาก่อนให้เห็นความสำคัญของคนในครอบครัวตนเอง ในสถานการณ์ที่เปล่าเปลี่ยวขาดความรักจากคนในครอบครัว อยู่ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและความตาย ตัวละครยังอยากมีชีวิตอยู่บนความเจ็บปวด เพื่อตามหาสิ่งที่เรียกว่าความรัก 
สิ่งสำคัญสำหรับครอบครัวคือคำว่า ความรัก หากล่มสลายไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดมาเยียวยาให้กลายเป็นปกติได้

                                                                                                        ปล.แก้มย้วย


วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

มหาภารตยุทธ์ ย่อๆ

มหาภารตยุทธ์

จุดกำเนิดเรื่องราว
          มหาภารตะ หรือ มหาภารตยุทธ เกิดจากการรจนาของฤาษีวยาส หรือ กฤษณะ ไทวปายนะ ซึ่งเป็นบุตรของ ฤาษีปราศร กับนาง สัตยวดี จุดหมายของการรจนาครั้งนี้ก็เพื่อไว้นำไปสั่งสอนศิษย์ แต่มหาภารตะที่รจนาไว้นั้นมีความยาวเป็นแสนโศลก จึงยากที่จะหาใครมาลิขิตหรือบันทึกไว้ให้ได้หมด พระพรหมณ์เมื่อทราบถึงเจตนาของฤาษีวยาส จึงปรากฏตัวต่อหน้าฤาษีวยาส และบอกว่ามีผู้ที่สามารถลิขิตหรือบันทึกเรื่องราวให้ท่านได้ คือ พระคเณศ ซึ่งเป็นเทพแห่งปัญญา เมื่อได้พบพระคเณศจึงบอกถึงจุดมุ่งหมายของตนในครั้งนี้ที่มา พระคเณศก็ยินดีที่จะลิขิตให้แต่มีเงื่อนไข คือ ให้ฤาษีวยาส รจนาจนาโดยการร่ายยาวจนจบห้ามหยุดพัก ฤาษีวยาสก็มีเงื่อนไขเช่นกันว่า พระคเณศเองต้องเข้าใจสิ่งที่ตนรจนาก่อนจึงลิขิตหรือบันทึกข้อความลงไป เมื่อตกลงกันเรียบร้อย ทั้งสองจึงทำการรจนาและลิขิต ข้อความจนจบ เกิดเป็นมหาภารตะ
เรื่องย่อ
          มหาภารตยุทธ์ เป็นการพรรณนาถึงกษัตริย์แห่งราชงวศ์ภรต หรือ ภารต อันเป็นชื่อของเผ่าพันธุ์และประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นเรื่องราวการขับเคี่ยวสงครามระหว่างพี่น้องตระกูลเการพและตระกูลปาณฑพ ซึ่งทั้งสองตระกลูต่างสืบเชื่อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกันคือ ท้าวภรต จุดประสงค์ของการทำสงครามก็เพื่อแย่งชิงราชสมบัติและปกครองแผ่นดิน ซึ่งฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายธรรมมะ อีกฝ่ายเป็นฝ่ายอธรรม ณ ทุ่งราบกุรุเกษตร ทั้งสองฝ่ายทำการรบกันอย่างดุเดือด เป็นเวลายาวนานถึง ๑๘ วันเต็มๆต้องเสียไพร่พลกันไปจำนวนมหาศาล แต่ในที่สุดฝ่ายธรรมมะ คือ ฝ่ายพี่น้องปาณฑพ ก็เป็นผู้ชนะสงคราม
ประวัติ
ภีษมะ หรือ คานตนพ หรือ คางเคยะ บุตร ของ คานตนุ กับ พระแม่คงคา เรื่องราวของ ภีษมะ มีดังนี้
          มีเทวดาในกลุ่มคณะวสุคณะ อยู่ ๘ องค์ วันหนึ่งได้พาภริยาไปเที่ยวเพื่อชื่นชมธรรมชาติให้เพลิดเพลิน แถวเขาพระสุเมรุ ซึ่งใกล้ๆบริเวณนั้นเป็นอาศรมของ ฤาษีวสิษฐ์ ซึ่งท่านได้เลี้ยงแม่วัวกับลูกไว้ แม่วัวชื่อ นันทินี เป็นแม่วัวที่ให้นมได้มากกว่าความต้องการของเจ้าของ และเมื่อใครได้ดื่มกินจะมีอายุยืนถึงพันปี เทวดาองค์หนึ่ง ชื่อ ทยุ เห็นแม่วัวแล้วอยากได้ จึงให้สามีตนไปขโมยฤาษีมาแต่ฤาษีจับได้จึงสาปให้เทวดาทั้ง ๘ ไปเกิดในโลกมนุยษ์และให้ ทยุ ผู้ริเริ่ม อยู่ในโลกมนุษย์นานที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถอยู่ได้ ด้วยความกลัวเทวดาทั้ง ๘ จึงไปขอร้องพระแม่คงคาให้รับตนไว้เป็นลูกเมื่อตนมาเกิดบนโลกมนุษย์ และเมื่อเกิดมาให้โนตนลงในน้ำทันที ด้วยความสงสารพระแม่คงคาจึงรับปากเอาไว้
          มีกษัตริย์แห่งนครหัสตินาปุระ ชื่อ ประตีปะ เป็นกษัตริย์ที่ปฏิบัติตนอยู่ในครรลองของศาสนาเป็นอย่างดี วันหนึ่งได้เดินทางไปแถวแม่น้ำคงคาและได้พบพระแม่คงคา สัญญากันว่าเมื่อตนเองมีลูกจะให้แต่งงานกับพระแม่คงคาซึ่งแปลงร่างเป็นหญิงสาวรูปงาม วันเวลาผ่านไปเมื่อกษัตริย์ประตีปะ ก็มีพระโอรส นามว่า ศานตนุ เมื่อศาตนุเติบใหญ่และพระบิดาสิ้นพระชนย์ พระองค์จึงได้ขึ้นครองราช และได้แต่งงานกับพระแม่คงคาตามที่บิดาของตนเคยได้กล่าวไว้ ก่อนแต่ง พระแม่คงคาขอให้พระราชาศานตนุทำตามที่ตนต้องการ คือการไม่ขัดใจไม่ว่าตนจะทำอะไร พอแต่งงานและมีลูก นางก็โยนลูกตนเองลงน้ำถึง ๗ คน คนที ๘ พระราชาศานตนุไม่ยอม นางจึงบอกว่าพระองค์ผิดคำสัญญาและเล่าความจริงให้ฟังจึงอันตรธานหายไปพร้อมกับลูกคนที่ ๘ และทิ้งความงงงันให้แก่ราชาศานตนุ วันหนึ่งพระองค์เดินทางไปแถวแม่น้ำคงคา และที่นี้เองที่พระองค์ได้พบ กับลูกตนเองคือ คางเคยะหรือ ศานตนพลูกคนที่ ๘ ของตน เมื่อได้คุยกับพระแม่คงคาและทราบความจริงพระองค์จึงพาพระโอรสกลับพระนคร
          เมื่อราชาศานตนุมีอายุมากขึ้น และรู้สึกปลง คิดจะให้พระโอรสขึ้นครองราชย์และตนเองคิดจะออกเดินทางเข้าป่าตามธรรมเนียมกษัตริย์ ระหว่างที่คิดจะออกเดินทางหาความสงบนั้นเองที่พระองค์ได้พบกับนางสัตยวดี ซึ่งทำให้พระองค์รู้สึกหลงรักในความงามของนางเป็นอย่างมากถึงขั้นชวนไปอยู่ในวังด้วย แต่มีข้อแม่จากชาวประมงผู้เป็นพ่อว่าหากพระโอรสระหว่างพระองค์กับลูกตนออกมาจะต้องได้ขึ้นครองราชย์ จึงสร้างความหนักใจให้ราชาศานตนุเป็นอย่างมากจนล้มป่วย เมื่อศานตนพรู้ข่าวและรู้ความจริง จึงจัดพิธีแต่งงานให้กับราชาศานตนุสมความตั้งใจ และบอกว่าตนจะไม่ขึ้นครองราชย์ ด้วยเหตุนี้ก็มีเสียงจากฝากฟ้า ดังลงมา ว่า ภีษมะ ซึ่งแปลว่า ฉกาจฉกรรจ์ และเป็นฉายาของศานตนพตั้งแต่นั้นมา
          ราชาศานตนุ กับนาง สัตวดี เมื่อแต่งงานก็มีลูกด้วยกัน สองคน คือ จิตราคทะและวิจิตรวีระยะ เมื่อราชาศานตนุสิ้นพระชนย์ จิตราคทะก็ครองราชย์แทน ครองราชย์ได้ไม่นานก็ไม่สู้รบกับคนธรรพ์จนสิ้นพระชนย์ไปอีกคน วิจิตรวีระยะจึงขึ้นครองราชย์แทนพระเชษฐาแต่ด้วยอายุยังน้อย ท้าวภีษมะจึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนก่อนจนกว่าพระองค์จะมีพระชนย์มายุมากพอที่จะปกครองบ้านเมือง
          ต่อมา แคว้น กาศีจัดพิธีสยุมพรหรือการเลือกคู่ ของธิดาทั้งสามองค์คือ อัพพา อัพพิกา และ อัพพาลิกา ท้าวภีษมะต้องการได้ธิดาทั้งสามคนมาเป็นมเหสีของน้องตนเอง คือ จิตรวีรยะ แต่เมื่อไปทำการเจราจฝ่ายกาศีไม่ยอม จึงเกิดการสู้รบกันขึ้น ฝ่ายภีษมะเป็นผู้ชนะจึงนำธิดาทั้งสามกลับเมืองตนแต่ปล่อยนางอัพพาไปเพราะหมั้นหมายกับราชาศาละไว้แล้ว แต่พอกลับไปก็ถูกปฏิเสธนางจึงแค้นภีษมะมาก จึงออกบำเพ็ฐเพียรและขอพรจากพระศิวะให้ตนเกิดเป็นลูกของเท้าทรุปัท ชื่อ ศิขิณทิน ซึ่งต่อมาเป็นต้นเหตุการตายของภีษมะ  
          ราชาวิจิตรวีรยะ เมื่อได้อภิเษกกับพระธิดาทั้งสองก็หมกหมุ่นกับกามอารมณ์มากเกินไปทำให้สิ้นพระชนย์ขณะเสวยสุขกับภริยา ซึ่งยังไม่มีผู้สืบราชสมบัติแทนเพราะยังไม่มีบุตรเลยสักคน ทำให้นางสัตยวดีคิดมากเรื่องการสืบราชสมบัติ จึงให้ภีษมะทำนิโยคกับพระธิดาทั้งสองแต่ภีษมะทำไม่ได้เพราะเคยสัญญาไว้กับเหล่าเทวดา นางจึงคิดถึงลูกชายคนโต คือ กฤษณะ ไทวปายนะ วยาส พอกฤษณะทำนิโยคกับธิดาทั้งสอง คือ อัพพิกา เมื่อคลอดบุตรออกมา ก็ตาบอดทั้งสองข้าง เพราะนางหลับตาตลอดเวลาขณะทำนิโยค เพราะความรังเกียจ สะอิดสะเอียน กฤษณะฤาษี ชื่อ ธฤตราษฏร์ ชนกของ กษัตริย์เการพทั้ง ๑๐๐ นั่งเอง ส่วน นางอัพพาลิกา เมื่อปฏิบัตินิโยคก็ประหวั่นพรั่นพึง จนตัวซีดขาว ลูกออกมาจึงตัวซีดขาวด้วย ชื่อว่า ปาณฑุ แปลว่า ขาวซีด และเป็นที่มาของ กษัตริย์ปาณฑพทั้ง ๕
          เมื่อนางสัตยวดีเห็นสภาพหลานทั้งสองที่ไม่เป็นปกติ จึงขอให้นางอัพพิกาทำนิโยคอีกครั้ง แต่นางให้คนใช้เข้าไปทำแทน เมื่อคลอดบุตรออกมา ชื่อ วิทูร เป็นผู้มีปัญญาล้ำเลิศและเปี่ยมด้วยความเที่ยงธรรม จึงได้สมญาว่า มหามติ แต่ด้วยเหตุที่ ธฤตราษฏร์ตาบอด และวิทูรไม่ใช่หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ปาณฑุจึงได้ขึ้นครองราชย์
          ต่อมาภีษมะหาคู่ครองให้ทั้งสอง ธฤตราษฏร์ อภิเษกกับ เจ้าหญิงคานธารี ธิดาของท้าวสุพล แห่งนครคันธาระ ส่วนปาณฑุอภิเษกกับเจ้าหญิงกุนตีธิดาของราชาศูระกษัตริย์เชื้อสายยาทพ เจ้าหญิงกุนตีเป็นกนิษฐภคินีของท้าววสุเทพผู้เป็นชนกของพระกฤษณะ
          ท้าวธฤตราษฏร์ แต่งงานกับ เจ้าหญิงคานธานรี มีลูกด้วยกัน ๑๐๑ พระองค์ เป็นพระราชโอรส ๑๐๐ คน และพระธิดา ๑ คน พี่ชายคนโต ชื่อ ทุรโยชน์ ซึ่งต่อมาเป็นศัตรูกับ ฝ่ายพี่น้องปาณฑพ
          ราชาปาณฑุ แต่งงานกับเจ้าหญิงกุนตีและพระนางมาทรี แต่ด้วยพระองค์ไปยิงพราหมณ์ที่แปลงร่างมาเป็นกวางซึ่งกำลังเสพสุขกันอยู่ จนตาย จึงถูกสาปแช่งให้ไม่สามารถมีลูกและเสพสุขกับภรรยาตนเองได้ ถ้าฝืนก็จะทำให้สินพระชนย์ทันที่ นางกุนตีมีพรที่ได้จากพราหมณ์ผู้หนึ่งให้สามารถมีลูกกับเทพได้ นางจึงขอพรและได้ลูกด้วยกันสามคน คือ ยุธิษฐิระ ภีมะ อรชุน  สหเทพ และนกุล
จุดเริ่มต้นของสงคราม

          เกิดจากความโลภ อิจฉา ริษยาของทุรโยชน์ โดยทำแผนการต่างที่จะกำจัด พี่น้องตระกูลปาณฑพ ให้หมดสิ้นไปจงได้ เช่น วางแผนให้พี่น้องปาณฑพไปเที่ยวต่างเมือง แล้วให้อำมาตย์ไปเผาบ้านที่พัก หรือการเล่นสกาโดยใช้กลโกงต่างๆ จนทำให้ฝ่ายปาณฑพ เสียเมือง เสียทุกสิ่งทุกอย่าง จนได้ออกเดินทางจากพระนคร ไปอยู่ป่าเป็นนักบวช ถึง ๑๓ ปี 

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

ความแตกต่างระหว่างภาพยนตร์เรื่องต้นส้มแสนรักกับวรรณกรรมที่เป็นตัวบทหนังสือ

   ความแตกต่างระหว่างภาพยนตร์เรื่องต้นส้มแสนรักกับวรรณกรรมที่เป็นตัวบทหนังสือ

  "  ผมเฝ้าลูบไล้ดอกสีขาวที่ว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ผมจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว แม้ว่ามิงกินโยจะพยายามบอกลาผมด้วยดอกเล็กๆของมันนี้ เขากำลังไปจากโลกแห่งความฝันของผมเพื่อไปอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไปอยู่ในโลกแห่งความเจ็บปวดของผม  "
      ข้อความข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งในวรรณกรรมเรื่อง ต้นส้มแสนรัก ของ โจเซ่ วาสคอนเซลอส นักเขียนชาวบราซิล ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรมชิ้นเอกของโลกคนหนึ่ง เขาใช้เวลาในการเขียนวรรณกรรมเรื่องนี้ไม่นาน แต่ก็กลายเป็นวรรณกรรมที่ทุกคนรู้จักกันทั่วโลก ซึ่งก็รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย มีการแปลวรรณกรรมเรื่องนี้ไว้หลายสำนวน แต่ที่ข้าพเจ้าได้นำมาวิเคราะห์เป็นสำนวนของ สมบัติ เครือทอง ซึ่งจะทำให้ซาบซึ้งไปกับความรัก ความเศร้า จินตนาการและอาจต้องเสียน้ำตาไปกับวรรณกรรมเรื่องนี้
      ต้นส้มแสนรัก เป็นเรื่องราวของ เด็กชายชาวบราซิล นามว่า เซเซ่ ผู้ที่มีจินตนาการเปี่ยมไปด้วยความฝันที่สวยงามและเป็นเด็กที่ฉลาด   เกิดในครอบครัวที่ยากจน ด้วยความดื้อและซนเขาจึงชอบก่อเรื่อง ไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้ถูกลงโทษบ่อยๆ ทุกคนคิดว่าเขาเป็นเด็กแสบที่ชอบสร้างความเดือดร้อนแก่เพื่อนบ้าน ซึ่งทุกคนต่างก็เอือมระอา ต่อมาครอบครัวของเซเซ่ได้ย้ายบ้านไปอยู่ที่ใหม่ เขาได้พบเพื่อนใหม่สองคนคือต้นส้มเขียวหวานหนึ่งต้นและโปรตุก้า เพื่อนต่างวัยชาวโปรตุเกตของเขา คนที่สอนให้เขารู้จักความรักที่แท้จริงและเป็นสิ่งที่ฝันหามาโดยตลอด 
               วรรณกรรมเรื่อง ต้นส้มแสนรัก จึงเป็นวรรณกรรมอมตะเรื่องหนึ่งที่นักอ่านทุกคนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยเนื้อหาและรูปแบบที่สะท้อนมุมมองชีวิตออกมาอย่างลึกซึ้ง วรรณกรรมเรื่องนี้จึงถูกนำมาสร้างเป็น แอนิเมชั่นและภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าวรรณกรรมเล่มนี้มีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อนำตัวบทที่เป็นหนังสือมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับบทภาพยนตร์ จึงทำให้เห็นความแตกต่างและความเหมือนที่หนังสือและภาพนตร์สื่อออกมาดังจะกล่าวต่อไปนี้
               ภาพยนตร์ถือว่าได้เปรียบกว่าหนังสือมากในด้านการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก เพราะมีทั้งภาพและเสียง เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆที่หนังสือไม่มีในการใช้เล่าเรื่อง แต่ทำไมเมื่อดูภาพยนตร์จึงให้ความรู้สึกน้อยกว่าอ่านหนังสือ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการตีบทของผู้กำกับที่ต้องการชี้ให้เห็นผลพวงของความรุนแรงของครอบครัวที่เกิดจากความยากจนมากเกินไปจนทำให้ไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครที่แสดงออกมาได้ลึกซึ้งได้เท่าตัวหนังสือ เช่น ตอนที่เซเซ่พาหลุยส์ไปรับของขวัญที่มีคนเอามาแจกเด็กในละแวกนั้นแต่ไปไม่ทันด้านอารมณ์ความรู้สึกควรสื่อออกมาให้มากกว่านั้น น่าจะเป็นฉากแรกๆที่ทำให้ผู้ชมซาบซึ้งหรืออาจเสียน้ำตากับฉากนี้ รวมทั้งเรื่องความรักของพี่น้องที่พี่คนโตของเซเซ่ต้องออกจากโรงเรียนเพื่อช่วยครอบครัวทำงาน หรือกระทั่งความรักของพ่อแม่ที่มีต่อเซเซ่ควรสื่อออกมาให้ผู้ชมเห็นภาพได้ชัดเจน
               ประการต่อมาคือ ตัวละครเอกของเรื่องอย่างเซเซ่ ในหนังสือ เซเซ่จะมีลักษณะผอมแห้ง ซึ่งต่างจากในบทภาพยนตร์ที่มีรูปร่างค้อนข้างจะอ้วน สำหรับคนที่เคยอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้อาจจะบอกว่าเซเซ่อ้วนเกินไปหรือปล่าว หรือต้นส้มที่ไม่เหมือนภาพที่จินตนาการเวลาอ่านหนังสือเพราะมีขนาดเล็กเกินไป จึงแสดงความแตกต่างให้เห็นได้ชัดเจน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผู้กำกับไม่รอบคอบหรือไม่ลงรายละเอียดในส่วนนี้ หรือผู้กำกับต้องการจะสื่ออะไรออกมาก็ไม่ทราบได้ แต่ก็เป็นเพียงประเด็นเล็กๆที่ใครๆอาจไม่ได้ใส่ใจหรือให้ความสำคัญ แต่อย่างที่ทราบโดยทั่วกันว่าแม้จะเป็นเพียงประเด็นเล็กๆน้อยๆแต่ถ้าหากไม่ใส่ใจแล้ว อาจทำให้อรรถรสของภาพยนตร์ลดน้อยลงหรือไม่สมจริงมากขึ้น
               ภาพยนตร์เรื่อง ต้นส้มแสนรัก เมื่อมองโดยภาพรวมแล้วก็คล้ายกับตัวบทที่เป็นหนังสืออยู่มาก ซึ่งแสดงออกถึงความรุนแรงของคนในครอบที่เป็นผลมาจากความจน ซึ่งภาพยนตร์สื่อออกมาได้ชัดเจนซึ่งอาจจะเห็นภาพมากกว่าในหนังสือด้วยซ้ำโดยเฉพาะ ฉากที่เซเซ่โดยพ่อตีอย่างหนักจนล้มป่วย ฉากนี้ถ้ามองในมุมสังคมจะเห็นสิ่งที่ภาพยนตร์สะท้อนว่า คนบราซิลผู้ชายจะเป็นใหญ่มาก มีหน้าที่ดูแลทุกอย่างของคนในครอบครัว แต่ในเรื่องพ่อของเซเซ่ตกงานและคนที่ทำงานคือแม่ พ่อจึงแสดงความรุนแรงออกมาเพราะถูกกดดันจากครอบครัวและสังคมรอบข้าง จนบางครั้งอารมณ์ของเขาก็อยู่เหนือเหตุผล ทำให้ส่งผลต่อเซเซ่ที่นำความรุนแรงที่ตนถูกกระทำอยู่บ่อยครั้งไปใช้กับคนอื่นเกิดเป็นเรื่องราววุ่นวายมากมายเช่นในเรื่อง
                ประการต่อมาที่เหมือนกันคือการถ่ายทอดความรักของเซเซ่และโปรตุก้า เพื่อนต่างวัยที่ทำให้เซเซ่เข้าใจความรักมากขึ้น ตอนนี้ถ้าอ่านหนังสือแล้วไปชมภาพยนตร์หรืออาจจะชมภาพยนตร์แล้วไปอ่านหนังสือความประทับใจคงไม่ต่างกันมากนัก ตัวละครทั้งสองคนต่างมีปมในใจที่ทำให้รู้สึกว่าขาดอะไรในชีวิตอยู่ตลอดเวลา จนได้พบกันทั้งสองจึงเติมเต็มส่วนที่ขาดให้กันและกันเกิดเป็นความสัมพันธ์อันลึกซึ้งซึ่งคือสิ่งที่ทั้งสองกำลังตามหา ช่วงนี้จะเป็นฉากที่ทุกคนต้องอมยิ้มหรือซาบซึ้งไปตามๆกัน เช่น ตอนที่เซเซ่ขอให้โปรตุก้ามาเป็นพ่อของเขา เป็นต้น นอกจากความแตกต่างของช่วงวัยแล้วสิ่งที่แตกต่างกันคือเชื้อชาติ บราซิลเคยเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกตมาก่อนในเรื่องคนส่วนมาจึงไม่ชอบโปรตุก้า สิ่งที่ผู้เขียนและภาพยนตร์สื่ออกมาจึงอาจมีความหมายมากกว่า ความรัก ความผูกพันธ์ระหว่างคนสองคน แต่อาจหมายถึงมิตรภาพของชาวบราซิลและโปรตุเกตด้วยเช่นกันหากมองในมุมประวัติศาสตร์
               เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์และในหนังสือที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเห็นได้ว่า ระหว่างภาพยนตร์และหนังสือมีส่วนที่แตกต่างกันไปบ้างก็เพื่อความเหมาะสม อาจจะเป็นด้านระยะเวลาหรือสิ่งที่ผู้กำกับต้องการสื่อให้เห็นในภาพยนตร์มากกว่าหนังสือ หรือบางฉากอาจถูกตัดทอนไปก็เพราะไม่ใช่สิ่งที่ผู้กำกับต้องการสื่อออกมานั่นเอง หรืออาจจะตีความหนังสือไปอีกด้านหนึ่ง ดังนั้น จึงทำให้เห็นความแตกต่างที่เกิดขึ้น แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือตัวหนังสือที่ผ่านสายตาของเรามานั้นทำให้เห็นสัจธรรมของชีวิตมากขึ้น ทำให้อยากเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆหรืออยากที่จะก้าวเดินต่อไป มีความพยายามที่จะก้าวข้ามความเจ็บปวดหรืออุปสรรคต่างๆ เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าและอนาคตที่รอให้เราค้นหาต่อไป
               "เซเซ่ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เขาช็อกและตายลงอย่างช้าๆ พลางตัดพ้อกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าว่าเหตุใดจึงไม่รักเขาเหมือนเด็กคนอื่นๆ
หลังจากนั้นแม้ว่าเขาจะรอดมาจากการตรอมใจ ได้ชีวิตก็ไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว เขาบอกพี่สาวว่าหากรอดชีวิตเขาก็จะเป็นเด็กเลว 
ทว่า พี่สาวก็เพียงปลอบว่า ขอให้เขารอดมาเป็นเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งก็พอ
ต้นส้มที่แท้จริงของเซเซ่ถูกโค่นไปแล้วพร้อมๆ กับการจากไปของโปรตุก้านั่นเอง แต่เขายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป.."



              
                                                                                                                                                                                              

โลกของเธอมีเพียงเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม

โลกของเธอมีเพียงเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม
(ผู้แต่ง มิ่งมนัสชน  จังหาร)
เรื่องย่อ
               โลกของเธอมีเพียงเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงวัย 5 ขวบ นามว่า ปีใหม่ ซึ่งเติบโตมาในครอบครัวที่ใครๆต่างเฝ้ามอบความรักให้ แต่ความรักที่เธอต้องการจริงๆคือความรักจากพ่อที่เธอไม่เคยได้สัมผัส นี่คือเหตุผลที่ทำให้แม่ของเธอคือดาวต้องการมอบความรักให้กับลูกมากที่สุด เพื่อที่ปีใหม่จะได้รู้สึกไม่ขาดอะไรไป แต่ความรักที่แม่มีให้ลูกมากเกินไปก็เปรียบเสมือนกรงที่ขังอิสรภาพของเธอที่จะได้คิดได้ทำในสิ่งที่เด็กคนอื่นๆทั่วไปได้ทำกัน เช่น การขี่จักรยาน  ทำให้แดนน้องชายไม่เห็นด้วยกับการเลี้ยงดูของพี่สาวตน จนเป็นที่มาของเรื่องราวเมื่อ ดาว นำปีใหม่มาฝากให้แดนช่วยดูแลหนึ่งวัน วันนั้น ปีใหม่ขี่รถล้ม ดาวไม่พอใจมากทั้งสองพี่น้อง ดาวและแดน ต่างอ้างเหตุผลที่ตนได้ทำไป ดาวก็ว่าเพราะรักลูกมาก แดนก็ว่าต้องอิสระกับเด็กบ้างเด็กจะได้เกิดการเรียนรู้และทันโลก จากเหตุการณ์นี้จึงทำให้ดาวเปิดใจยอมรับและให้ลูกของตนได้อิสระมากขึ้น รอยยิ้มน้อยๆจึงเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
               ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง คือ เรื่องความรักความห่วงใยและความเข้าใจในความรัก ความรักถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่โลกได้สร้างขึ้น โดยเฉพาะความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก ซึ่งเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ จนบางครั้งความรักที่มากมายที่พ่อมามอบให้มันกลับเหมือนกรงที่ขังอิสรภาพของเด็ก ตีกรอบไว้ให้เด็กมากเกินไป จนไม่สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ด้วยตนเอง ไม่ทันโลก ไม่ทันเหลี่ยมสังคม เป็นคนที่ต้องได้รับความช่วยเหลือตลอดเวลา ถ้ามีแต่ความรักให้เด็กแต่ไม่เข้าใจเขา รักที่พ่อแม่มอบให้ก็ไม่ต่างจากการเทน้ำใส่แก้วที่มีน้ำเต็มอยู่แล้ว เด็กจะไม่ยอมรับหรือไม่ตอบสนองกลับ ดังนั้น การรักลูกควรรักให้ถูกทาง ควรมีอิสระให้เขาในการคิด ทำ พูด ได้ตามวิสัยของเด็กและวัยวุฒิในช่วงอายุของเขา เขาควรได้รับการเรียนรู้ ไม่ควรถูกกีดกั้น เพราะจะเกิดเป็นปัญหาสังคมได้ในภายภาคหน้า เช่น ในเรื่องที่เปรียบเด็กเป็นผ้าขาวผ้าขาวอาจจะปลิวตามลมไปโดนสีต่างๆที่ผู้ใหญ่มอบให้ หรือผ้าขาวอยู่กับที่ ก็มีโอกาสเปื้อนสีได้เหมือนกันจากธรรมชาติที่เกิดขึ้นขณะนั้น การเลี้ยงดูบุตรหลานจึงต้องดูทุกอย่าง ทั้งสิ่งแวดล้อมรอบข้าง สภาวะสังคมพ่อแม่ผู้ปกครองเอง สิ่งที่กล่าวแต่ข้างต้นจึงเป็นปัจจัยที่จะทำให้เด็กเติบใหญ่เป็นอนาคตของชาติและเป็นรากแก้วที่แข็งแกร่งของชาติต่อไป
สำนวนที่ประทับใจ
มือที่เคยจับตำรา จับปากกา อย่าเอามาเปื้อนดินเปื้อนโคลนเลยลูกเอ๋ย
               สาเหตุที่ชอบสำนวนนี้เพราะว่าตรงกับชีวิตตนเองดี ใครที่เป็นลูกชาวนามักจะถูกปลูกฝังไว้อย่างนี้ อย่ามาทำนาให้ลำบากเหมือนพ่อแม่เลย ให้พ่อแม่ลำบากก็พอแล้ว มือที่เคยจับปากกาในอนาคตก็ควรจับปากกาต่อไป นี้อาจเป็นค่านิยมของชาวรากหญ้าที่ต้องการให้ลูกของตนได้ดี แต่ในสิ่งที่พ่อแม่คิดว่าดีก็อาจจะไม่ดีเสมอไป ลูกหลานอาจจะลืมถิ่นกำเนิดของตน ลืมว่าตนเองเป็นใคร พอตกงานจากสิ่งที่ตนเรียนมาก็ทำอะไรไม่เป็น หลงลืมทุกสิ่งที่ตนเคยเป็นและเป็นอยู่ก็ได้  การปลูกฝังของพ่อแม่เป็นสิ่งดีแต่ก็ควรให้ลูกเลือกที่จะเป็นเอง ทั้งหมดก็เพื่อความสุขที่จะเกิดขึ้นแก่ทั้งสองฝ่าย
สาเหตุที่เลือกหนังสือเล่มนี้
               โลกของเธอมีเพียงเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม เป็นวรรณกรรมที่ได้รับ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2551 ซึ่งเป็นเครื่องการันตีว่า เป็นหนังสือที่ดี ด้วยเนื้อหาสาระที่อ่านง่ายเข้าใจง่าย และด้วยความละเอียดอ่อนของถ้อยคำในเรื่อง จึงสร้างอารมณ์แก่ผู้อ่าน เกิดความเพลิดเพลินและสร้างรอยยิ้มให้ผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

               

วิจารณ์ เด็กหญิงแห่งกลางคืน

เด็กหญิงแห่งการคืน


เรื่องย่อ
               เด็กหญิงแห่งการคืน เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงกำพร้าคนหนึ่งนามว่า รำพึง พ่อแม่ของเธอถูกฆ่าตายตั้งแต่ยั้งเด็ก ถูกลักพาตัวมาอยู่กับยายซึ่งเป็นแม่ของคนที่ฆ่าพ่อแม่เธอ หลังจากคนที่ฆ่าพ่อแม่รำพึงถูกฆ่า ทั้งสองคนยายหลานจึงต้องออกเดินทางเร่รอน ขอทานในตอนกลางคืน และอาศัยอยู่ท้ายซอยแห่งหนึ่งซึ่งเป็นตึกร้างกลางเมืองหลวงของไทย รำพึงเป็นเด็กที่มีจินตนาการและเฉลียวฉลาด เธอเรียนรู้ที่จะอาศัยอยู่กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเธอ จนวันหนึ่งชีวิตของรำพึงต้องพลิกผัน เมื่อคุณชวนชมชาวบ้านละแวกนั้นเก็บเธอมาเลี้ยง เธอจึงได้เรียนหนังสือ และเป็นตัวแทนของโรงเรียนเข้าร่วมการแข่งขันต่างๆแต่ก่อนหน้านั้นเธอก็สร้างเรื่องราวไว้มากมาย จนทุกคนต้องเอือมระอาไปตามๆกัน แต่เมื่อทุกคนรู้ความจริงว่ารำพึงเป็นลูกใครมาจากไหนทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เธอจึงเป็นส่วนหนึ่งของทุกคนและเข้ามาเติมเต็มชีวิตของคุณชวนชมให้กลับมามีชีวิตชีอีกครั้ง

ข้อคิด
               เด็กหญิงแห่งกลางคืน สะท้อนภาพสังคมปัจจุบันของไทยในแง่มุมต่างๆ  ทั้งในด้าน ความสุข ความทุกข์ มุมมืดและสดใส  ความรุนแรงและความอ่อนโยนซึ่งเป็นผลพวงมาจากความรุนแรงของสังคม เป็นสิ่งที่ทุกสังคมต้องเผชิญ โดยเฉพาะสังคมเมืองหลวงของไทย ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาที่ดูจะธรรมดาสำหรับคนเมือง การขอทาน การค้าขายยาเสพติดผิดกฎหมาย ความเห็นแก่ตัวของคนที่มุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตน มีให้เห็นอยู่ในสังคมอย่างไม่ขาดสาย แต่ในเรื่องก็สะท้อนความมีน้ำใจของคนไทยออกมาเช่นเดียวกัน ในยามทุกข์ยากหรือมีปัญหาน้ำใจถือว่ามีความสำคัญ สิ่งใดที่สามารถช่วยเหลือเกื้อกูนกันได้ จึงเป็นสิ่งที่ควรแสดงออกต่อกัน เช่น คุณชวนชมและคุณกัลยาที่มีน้ำใจต่อรำพึง จนเปลี่ยนเด็กหญิงแก่แดดและกร้านโลกให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เป็นต้น และอีกประการ คือ มิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กหญิงทั้งสองซึ่งมีภูมิหลังที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่คำว่ามิตรภาพไม่มีเส้นแบ่งพรมแดนหรือสิ่งจะมากีดกันทั้งสอง ความผูกพัน ความใกล้ชิด จึงเกิดความรักเกิดมิตรภาพขึ้น เป็นความอบอุ่นที่เกิดขึ้นภายในจิตใจอย่างแท้จริง
               สิ่งที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น อาจจะเป็นเพียงสังคมที่ทุกคนคุ้นชินจนอาจจะเป็นเรื่องปกติ หรือไม่มีความแปลกใหม่อะไร แต่ถ้าหากเราไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กๆน้อยๆนี้ อาจเกิดเป็นปัญหาสังคมที่ยิ่งใหญ่เกินเยียวยาในอนาคตได้ สิ่งเหล่านี้จึงควรทำให้ทุกคนเห็นความสำคัญหรือไดรับการกระตุ้นอย่างสม่ำเสมอ เพราะทุกอย่างนั้นเกิดจากสิ่งเล็กๆทั้งนั้นและสิ่งเล็กๆเหล่านี้เองที่จะเป็นพลังของชาติในอนาคต
สำนวนที่ประทับใจ
               ความอบอุ่นอันหอมกรุ่นของอ้อมอกที่โอบกอดเธอไว้ทำให้เด็กหญิงเหมือนอยู่ในสวรรค์ กลิ่นอย่างนี้นี่เองที่เธอเคยได้รับมาก่อน มือเล็กๆจึงโอบตอบ เสียงหนึ่งครางอยู่ในลำคอ " แม่จ๋า "
               เหตุผลที่ชอบสำนวนนี้เพราะ เป็นสำนวนที่ทำให้เห็นว่าความรักนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนควรได้รับ ไม่ว่าจะเกิดจากความรักของคนที่เป็นพ่อแม่ หรือคนรอบข้าง สิ่งที่โอบกอดหรือยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ให้เข้มแข็งและมีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตนั้นคือความรัก คงไม่มีใครอยากปฏิเสธความรัก ด้วยอำนาจและความทรงพลังในความรักนั้นสามารถทำให้เราเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้ สามารถลุกจากวังวนแห่งความผิดหวังหรืออุปสรรคต่างๆที่คอยเหนี่ยวรั้งทางก้าวเดินของเราได้ เด็กจึงถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากที่จะได้รับความรัก ไม่ว่าจะจากพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดรอบข้าง เพื่อไม่ให้เด็กเป็นคนที่ขาดความอบอุ่นหรือมีปัญหาในอนาคตวันข้างหน้า ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อสังคมและประเทศชาติในอนาคต

ทำไมถึงเลือกหนังสือเล่มนี้
               เหตุผลสำคัญที่เลือกหนังสือเล่มนี้เพราะการให้ความสำคัญกับสังคม ให้ความสำคัญกับความรัก และความรุนแรงต่างๆที่เป็นผลมาจากปัญหาของสังคม ทำให้เรามองสังคมได้กว้างขึ้น เห็นส่วนเล็กๆที่ใครอาจมองข้ามไปว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ควรได้รับการช่วยเหลือดูแล ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาของคนขอทาน ปัญหาของความทันสมัย การสื่อสารต่างๆที่ไม่นำไปถ่ายทอดออกมาตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรได้รับการปรับปรุงแก้ไข หรือ หาทางออกที่ดีในให้สังคมเราได้ ทำให้เกิดแรงเกิดแรงกระตุ้นที่จะสร้างสรรค์สังคมขึ้นใหม่ หรือ ไม่นำสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นในเรื่องมาปฏิบัติ เพื่อความสงบสุขร่มเย็นของตัวเองและสังคม รวมทั้งชาติบ้านเมืองของเรา


วิจารณ์ภาพยนตร์

จุดหักเห(แม่นาค)

          การวิจารณ์ในปัจจุบันถือว่ามีความหลากหลาย ไม่เพียงแค่การวิจารณ์งานวรรณกรรมเท่านั้น ในยุคแห่งเทคโนโลยีที่ทันสมัย การวิจารณ์ภาพยนตร์ต่างๆ ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะภาพยนตร์ส่วนมากก็มีที่มากจากงานเขียนที่ได้รับความนิยมนั้นเอง เช่น เรื่อง แม่นาคพระโขนงและพี่มากพระโขนง ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมจากคนไทยอยู่มากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน        แม่นาคพระโขนงกับพี่มากพระโขนงหากนำมาวิจารณ์ในแนวสัจนิยมมหัศจรรย์แล้วภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้ถือว่ามีความแตกต่างกัน ถึงแม้ว่าทั้งสองเรื่องจะมีที่มาจากเรื่องเดียวกันและเป็นหนังผีด้วยกันทั้งคู่ รวมถึงเรื่องราวที่มีตัวละครหลักคือแม่นาคก็ตาม
          แม่นาคพระโขนง เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่ต้องเสียชีวิตเพราะตายทั้งกลมและรอคอยการกลับมาของสามีคือ มาก สร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้านเพราะความเหี้ยนที่เป็นจุดขายของเรื่อง ถึงแม้ทั้งสองจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งแต่ก็ไม่ใช่ฐานะเดิมอีกแล้ว เพราะคนหนึ่งอยู่ในฐานะคนแต่อีกคนเป็นผีไปแล้ว เมื่อรู้ความจริงว่านางนาคเป็นผีสุดท้ายก็ต้องแยกจากกัน สาเหตุนี้ทำให้เรื่องแม่นาคพระโขนงไม่จัดอยู่ในแนวสัจนิยมมหัศจรรย์เพราะระหว่างผีกับคนนั้นแยกออกจากกันชัดเจน ผีก็อยู่ส่วนผีคนก็อยู่ส่วนคน ทั้งสองไม่สามารถอยู่รวมกันได้ ถึงแม้การวิจารณ์แนวสัจนิยมมหัศจรรย์จะเป็นการวิจารณ์แนวเหนือวิสัย แต่เรื่องราวความจริง กับสิ่งมหัศจรรย์ต้องสามารถอยู่รวมกันได้โดยไม่แยกออกจากกัน ต้องมีตรรกะที่เป็นชุดเดียวกัน ไม่ได้แบ่งเป็นสองชุด เช่น ชุดหนึ่งกล่าวถึงพฤติกรรมของคน อีกชุดกล่าวถึงพฤติกรรมของผี โดยพยายามให้เห็นว่าผีและคนต้องแยกออกจากกันไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งต่างจากเรื่องพี่มากพระโขนง ถึงแม้ว่าตอนต้นจะมีเนื้อหาของเรื่องเช่นเดียวกับเรื่องแม่นาคพระโขนงก็ตาม แต่จุดหักเหของเรื่องคือตอนจบ พี่มากพระโขนงจบเรื่องลงด้วยการได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นผีแต่ทั้งสองก็ยังใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนคนปกติ ไม่ได้รู้สึกแตกแยกออกจากกันแต่อย่างใด เป็นการเล่าเรื่องที่มีตรรกะชุดเดียวกัน จึงกล่าวได้ว่าพี่มากพระโขนงจัดอยู่ในแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ แม่นาคพระโขนงกับพี่มากพระโขนงจึงมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะด้วยการดำเนินเรื่องที่แปลกใหม่และบรรยากาศในเรื่อง รวมทั้งเรื่องพี่มากพระโขนงจะกล่าวถึงตัวละครฝ่ายชายมากขึ้นแล้วยังมีผ่องเพื่อนที่คอยให้ความช่วยเหลือและร่วมแสดงความคิดเห็น ทำให้บรรยากาศแห่งความน่ากลัวเบาบางลง เปลี่ยนเป็นตลกขบขัน เปลี่ยนอรรถรสในการรับชมเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ จากที่เราเคยรู้จักกันในเรื่องแม่นาคพระโขนงในแนวเก่าๆ    

          การวิจารณ์แนวต่างๆ จึงมีความโดดเด่นแตกต่างกันไป ทั้งนี้เพื่อให้วงการวิจารณ์เป็นที่แพร่หลายและได้รับการยอมรับ และเป็นการหาจุดบกพร่องและนำข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาแก้ไขให้ดียิ่งๆขึ้นไป เช่นเดียวกับภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้ที่มีมีความแตกต่างกันในด้านเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย ตามเทคโนโลยี ซึ่งก็จะทำให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่แทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง การจะเห็นดีเห็นงามอย่างไรจึงขึ้นอยู่ที่การวิจารณ์ของแต่ละคน เพราะสุดท้ายหน้าที่ของมันคือการมุ่งให้ความเพลิดเพลินและความสุขแก่ผู้ที่ได้รับชมเท่านั้นเอง        

5 เรื่องที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

  นี้ก็เป็น ep.2 สำหรับคลิปที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์รอบตัวเรา คุณเคยรู้ไหมว่าขนของเราส่วนไหนแข็งที่สุด ถ้าอยากรู้ก็เข้าไปดูกันนะครับ ช่...