เรื่อง
การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักไม่อาจเยียวยา
ความรักที่ผิดหวัง
คงไม่มีใครต้องการพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้แน่นอน
เพราะทุกคนล้วนต้องการความรักที่สมบูรณ์แบบ ความรักที่สมหวัง ความรักที่สามารถสร้างความสุขให้กับชีวิตได้
แต่จะมีสักกี่คนที่ได้พบกับความรักที่งดงามเช่นนี้
และมีอีกกี่คนต้องพบกับความรักที่มีแต่ความเจ็บปวดฝังใจ
หากวันหนึ่งเราต้องพบกับความรักที่ผิดหวัง ดั่งคมมีดกรีดลงผิวบาดลึกไปถึงทรวงใน เราคงนอนร้องไห้คร่ำครวญแทบบ้าคลั่ง
จนไม่เหลือเค้าโครงของความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป
ความเจ็บปวดนั้นจะสูญสลายไปตามกาลเวลา
เหลือเพียงรอยแผลเป็นที่ไม่มียาตัวใดรักษาให้หายได้
บางคนอาจทนรับความเจ็บปวดไม่ไหว จนต้องหาทางออกโดยวิธีการในแบบฉบับตัวเอง
เพื่อกอบกู้ความรักให้กลับมางดงามดังเดิม
การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักไม่อาจเยียวยา
ผลงานของ อรุณวดี อรุณมาศ
นักเขียนหญิงของวงการวรรณกรรมไทย
เป็นหนังสือที่ผ่านเข้ารอบหกเล่มสุดท้ายรางวัลซีไรต์ปี พ.ศ. 2540
เป็นนวนิยายเชิงจิตวิเคราะห์มนุษย์ในสถานการณ์อันตีบตัน มีความโดดเด่นด้านความรุนแรงทางอารมณ์
เนื้อหาสะท้อนปัญหาสังคมที่เกิดจากครอบครัว
ทำให้เห็นสภาพจิตใจของเด็กผู้หญิงที่เกิดมาท่ามกลางความไม่ต้องการของคนในครอบครัว
“สำหรับนวนิยายเรื่องแรกของเธอเล่มนี้ เราไม่กล้ายืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง
แต่ทุกประโยค ทุกถ้อยคำที่เธอนำมาเรียบเรียงร้อยไว้
ล้วนแต่พุ่งกระแทกสู่ความรู้สึกอย่างรุนแรง- รุนแรง
จนเราสามารถมองเห็นภาพความตายไหวยะเยือกอยู่ตรงหน้า
ไม่ว่าจะหลับตาหลบหรือสั่นหน้าปฏิเสธ
แต่เราจะวางใจได้หรือว่าสิ่งนี้ไม่ได้มีอยู่จริงในสังคม”
คำนำสำนักพิมพ์
การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักไม่อาจเยียวยาหรือแล้วแต่ผู้อ่านท่านอื่นๆจะเรียก
ความรักไม่อาจเยียวยา เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับคำว่าไม่มีใครต้องการ
มักจะมีคนพูดกรอกหูเธอเสมอว่าแม่ต้องการจะทำแท้งเอาเธอออก เธอไม่เคยเจอหน้าพ่อที่แท้จริงของเธอ
มีพี่สาวร่วมสายเลือดเดียวกันอยู่หนึ่งคน แต่กลับไม่เคยได้อยู่ร่วมกัน
จนหาความผูกพันระหว่างพี่กับน้องไม่ได้เลย ชีวิตในวัยเด็กต้องย้ายบ้านไปอยู่กับญาติพี่น้องคนอื่นๆ
อยู่เสมอ ในขณะที่แม่ต้องไปทำงานต่างประเทศ ทำให้เธอกลายเป็นเด็กขาดความรัก
ความอบอุ่นจากพ่อและแม่ มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเกลียดชัง
และเติบโตมากับความรุนแรงของคนในครอบครัว เมื่อแม่กลับมาแล้วพาเธอไปอยู่กับพ่อ
แต่เธอไม่สามารถเรียกพ่อได้เต็มปาก ไม่สามารถเข้าไปกอดได้เหมือนพ่อลูกคู่อื่นๆ
เพราะญาติพี่น้องของพ่อไม่มีคนยอมรับให้เธอเป็นลูกหลานบ้านนี้
พ่อมักจะใช้เธอไปจับสัตว์เล็กสัตว์น้อย เพื่อนำมาเป็นอาหารให้นกที่พ่อเลี้ยงไว้ เป็นการปลูกฝังให้เธอต้องพบกับการทารุณและโหดร้ายตั้งแต่เด็กเมื่อเธอทำอะไรไม่ถูกใจ
พ่อมักจะลงโทษ และด่าทอด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ซึ่งแตกต่างจากพี่สาวของเธออย่างสิ้นเชิง
เพราะพ่อให้ความรัก ความสนใจกับพี่สาวมากเกินไป จนลืมว่าพ่อก็มีลูกสาวอีกหนึ่งคน
ความรู้สึกที่เธอถูกปฏิเสธไม่เป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้าง
สะสมมาจนกระทั่งเธอโตเป็นสาว ขณะนี้แล้วก็ยังไม่มีใครให้ความสำคัญกับเธอเลย ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเข้ามาแทนที่ความอบอุ่นจากพ่อและแม่
ทำให้เธอเลือกเดินทางผิด หันไปพึ่งสารเสพย์ติด โดยเริ่มจากยานอนหลับก่อน แล้วเพิ่มฤทธิ์ยาขึ้นเรื่อยๆ
จนทำให้กลายเป็นคนติดยานอนหลับ เธอต้องการเรียกร้องความสนใจจากแม่
ด้วยการทำร้ายตัวเองโดยวิธีที่วิตถารคล้ายกับคนโรคจิต
เป็นวิธีที่น่าสยดสยองและสะอิดสะเอียนความเจ็บปวดครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกได้ว่า เธอยังมีชีวิตอยู่เพื่อรอคอยความรักจากแม่
นวนิยายเรื่องนี้
ไม่ได้มีการกำหนดชื่อตัวละคร มีเพียงแต่ “ฉัน”เป็นตัวดำเนินเรื่อง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้แต่งเป็นคนกำหนดให้ตัวละครเล่าเรื่องของตัวเองสลับไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน
เหมือนกับการเขียนบันทึกประจำวันบอกเล่าเรื่องของตนเอง เป็นการเปิดปมตัวละครไปเรื่อยๆ
ว่าเพราะเหตุใด “ฉัน” ต้องทำร้ายร่างกายและจิตใจของตนเองถึงขนาดนี้
นอกจากนั้นแล้ว เธอไม่ได้ทำร้ายแค่ตัวเองเท่านั้น ยังทำร้ายจิตใจของคนเป็นแม่ด้วย
เธอรู้อยู่แก่ใจว่าการที่เธอทำแบบนี้แล้วแม่จะต้องร้องไห้เสียใจ แต่เธอก็ยังทำเพื่อความรักที่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้สัมผัสสักครั้ง
ฉากหลังของเรื่องคือครอบครัวที่ไม่อบอุ่น
คนในครอบครัวขาดภาวะของการเป็นผู้ปกครองที่ดี แยกทางกันอยู่
ซึ่งสอดคล้องกับชื่อเรื่อง คือ “การล่มสลายของสถาบันครอบครัวฯ”ในเรื่องนี้ผู้แต่งเน้นที่ฉากและบรรยากาศของเรื่อง ซึ่งแต่งได้อย่างโดดเด่นและเห็นภาพชัดเจนเกิดอารมณ์ร่วมกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ชวนสะอิดสะเอียนไปกับกลิ่นคาวเลือด ฉากที่ผู้แต่งบรรยายได้เห็นภาพชัดเจนสำหรับผู้อ่าน
คือฉากที่ตัวละครเอกทำร้ายตัวเองด้วยการปล่อยให้เลือดไหลออกมาทางสายน้ำเกลือแล้วนำมาดื่ม
ขณะที่อ่านรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา คล้ายกับว่าผู้อ่านเป็นคนดื่มเลือดเข้าไปเอง
ผู้แต่งได้ดึงความรู้สึกของผู้อ่านเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเรื่อง สร้างความกดดันและสลดใจให้กับผู้อ่าน
ทำให้คล้อยตามและชวนพะอืดพะอมไปในเวลาเดียวกัน
บรรยากาศเหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นกับความตายให้ความรู้สึกที่หดหู่สิ้นหวัง
เป็นคนไร้ความหมาย ทั้งที่ศักดิ์ศรีความเป็นคนมีเท่ากัน แต่สำหรับเธอนั้น
ดูเหมือนจะเป็นเพียงมารหัวขนที่เป็นผลพลอยได้จากกามารมณ์เท่านั้น
ไม่ได้มีความหมายใดๆต่อคนในครอบครัวเลย
พื้นฐานของมนุษย์ทุกชีวิตล้วนเติบโตและถูกหล่อหลอมมาจากพฤติกรรมที่มีอยู่ในสังคม
โดยสถาบัน ครอบครัวคือสถาบันที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน คนในครอบครัวควรให้ความรัก
อบรมสั่งสอนมีการปลูกฝังแต่สิ่งที่ดีงาม เป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กได้ยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
เพื่อจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสมบูรณ์เพียบพร้อมไปทุกด้าน ทั้งด้านการศึกษา
สติปัญญาและจิตใจ
การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักไม่อาจเยียวยา
เป็นหนังสือที่ตีแผ่ด้านมืดในจิตใจของมนุษย์ ที่หลายๆคนไม่เคยเจอหรือสัมผัสมาก่อนให้เห็นความสำคัญของคนในครอบครัวตนเอง
ในสถานการณ์ที่เปล่าเปลี่ยวขาดความรักจากคนในครอบครัว อยู่ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและความตาย
ตัวละครยังอยากมีชีวิตอยู่บนความเจ็บปวด เพื่อตามหาสิ่งที่เรียกว่าความรัก
สิ่งสำคัญสำหรับครอบครัวคือคำว่า “ความรัก” หากล่มสลายไปแล้ว
ไม่มีสิ่งใดมาเยียวยาให้กลายเป็นปกติได้
ปล.แก้มย้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น