คนดำน้ำ
คนดำน้ำ
หนึ่งในงานประพันธ์รวมเรื่องสั้นของ นิคม รายยวา เรื่อง คนบนต้นไม้
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีความคิด วิธีการ
และความเชื่อมั่นในการประกอบอาชีพที่ต่างกัน
ซึ่งผู้แต่งถ่ายทอดออกมาให้เห็นในรูปแบบของบทสนทนา พฤติกรรมที่ตัวละครแต่ละตัวได้แสดงออกที่เกิดในช่วง
พ.ศ. ๒๕๑๔ เป็นยุคที่สังคมไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆในสังคม
แล้วส่งผลกระทบต่อสังคมรากหญ้า ซึ่งตัวละครทั้งสี่เป็นสัญลักษณ์แทนอาชีพของคนที่อยู่ในยุคนั้น
สังคมไทยในปัจจุบันหรือในอดีตที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นสังคมเมืองหรือสังคมชนบท ต่างมีการประกอบอาชีพที่แตกต่างกันออกไป
ในบางครั้งทางรัฐบาลหรือองค์กรของรัฐปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสม
หรือให้การดูแลช่วยเหลือไม่ทั่วถึง ทำให้ประชาชนที่ประกอบอาชีพต่างๆ
ขาดหลักประกันในชีวิต ส่งผลกระทบทุกชั้นชน
ดังเช่นในเรื่อง คนดำน้ำ ที่ฉากของเรื่องมีเพียงบึงเล็กๆ
แต่เป็นที่ทำมาหากินของคนมากมายที่ต้องการทรัพยากรต่างๆบริเวณริมบึงแห่งนี้เพื่อการดำรงชีวิต
โดยที่สังคมรอบข้างเป็นตึกสูง โรงงานอุตสาหกรรม
ซึ่งในอนาคตบึ่งแห่งนี้อาจกลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมได้เช่นกัน จะเห็นได้จาก
ตอนจบของเรื่องที่บรรยายถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่กำลังสร้างเข้าใกล้มาถึงบึงแห่งนี้
แต่ถ้าหากตีความฉากของเรื่องในอีกรูปแบบหนึ่ง
อาจหมายถึงสังคมชนบทที่ยังหลงเหลืออยู่ในกรุงเทพก็ได้
เพื่อให้กลุ่มชนได้ประกอบอาชีพที่ตนรัก
เรื่องสั้นเรื่องนี้
ใช้บทสนทนาเป็นหลักในการดำเนินเรื่อง เพื่อให้เห็นพฤติกรรมของตัวละคร แนวคิด
วิธีการต่างๆที่แต่ละคนแสดงออกทางความคิดในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งแต่ละคนก็เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนทำอยู่ว่าจะเกิดประโยชน์ต่อตนเองสูงสุด เช่น บทสนทนาของคนแทงฉมวกที่ว่า ของผมดีกว่า
คนถือฉมวกพูด แม้วันนี้ยังไม่มีโอกาสแทง แต่ถ้าแทงไปเมื่อไหร่ กินไปได้หลายมื้อแน่
มากกว่าที่คุณทำมาทั้งวันเสียอีก เป็นต้น จนบางครั้งก็ไม่ทราบว่าสิ่งที่ตนทำอยู่นั้นจะเกิดผลเมื่อไหร่
หรือบางคนมีอาชีพที่ทำแล้วเห็นผลทันที เช่น คนเลี้ยงผักบุ้ง
แต่ก็ไม่สามารถทำให้ตนลืมตาอ้าปากได้เท่าที่ควร ยังเป็นอาชีพแบบหาเช้ากินค่ำไปวันๆ
เป็นต้น คนเราแต่ละคนมีความคิดที่เป็นตัวของตัวเอง
ในบางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าดีอาจไม่ดีสำหรับคนอื่น
การใช้ความคิดหรือการแสดงออกด้านต่างๆจึงไม่ควรให้กระทบต่อความคิดคนอื่นมากเกินไป
ตัวละคร
ในเรื่อง มีทั้งหมด สี่ตัว ประกอบด้วย คนเลี้ยงผักบุ้ง คนตกเบ็ด คนแทงฉมวกและคนดำน้ำ
ตัวละครทั้งสี่เป็นสัญลักษณ์แทนการประกอบอาชีพต่างๆ ที่แต่ละคนก็ไม่อาจบอกได้ว่า
อาชีพของใครจะดีกว่ากัน ซึ่งตัวละครแต่ละตัวอาจเป็นสัญลักษณ์แทนอาชีพต่างๆ
ได้ดังนี้ คนเลี้ยงผักบุ้ง อาจเปรียบกับ อาชีพ ของชนชั้นกรรมมาชีพ
ที่ต้องหาเช้ากินค่ำไปวันๆ เช่น เกษตรกร
หรือการทำงานรับจ้างรายวันทั่วไปในปัจจุบัน
ซึ่งถ้าทำทุกวันเราก็จะมีอยู่มีกินทุกวันแต่ถ้าวันไหน ไม่ได้ทำ
อาจทำให้เกิดความขัดสนทางการเงิน เป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง ต่อมาตัวละครอย่างคนตกเบ็ดอาจเปรียบได้กับอาชีพรับราชการ
เพราะมีความมั่นคง อย่างเช่นที่คนตกเบ็ดได้กล่าวไว้ว่า ตกเบ็ดหาปลาก็ดี
คนตกเบ็ดพูด ไม่มีวันอด ได้ปลาอยู่วันยังค่ำ มีแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
เป็นต้น อาชีพราชการมีเงินเดือนรองรับทุกเดือน
จะได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความขยันของแต่ละคน เช่น ทหาร ตำรวจ
ที่ยศสูงย่อมได้เงินเดือนมากกว่าคนที่มียศต่ำ
คนที่มีอาชีพแน่นอนจึงมักทำตัวเรื่อยเปื่อยไม่ค่อยมีแรงกระตุ้น
บางครั้งอาจค่อยเวลามากเกินไป จนทำให้เวลานั้นศูนย์เปล่าไปโดยไม่เกิดประโยชน์
คนแทงฉมวกอาจเปรียบได้กับนักการเมือง
เพราะคนแทงฉมวกหวังแทงเอาเฉพาะปลาตัวใหญ่เท่านั้น ถึงแม้ต้องรอคอยเวลา แต่ก็คุ้มกับผลตอบแทน
นักการเมือง ส่วนมากจะเป็นคนที่คิดการไกลมีการวางแผนล่วงหน้า
ต้องทำในสิ่งที่ตนได้ผลประโยชน์มากที่สุดแต่บางครั้งก็เป็นอาชีพที่เลื่อนลอย
ไม่มีหลักให้ยึด ในบางครั้งถึงแม้จะเห็นปลาตัวใหญ่แล้ว
แต่คนเราก็ต้องมีพลาดกันทุกคน ถ้าหากแทงผิดเป้า ความหายนะก็มาเยือนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
มีนักการเมืองจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันที่ลงทุนกับอาชีพนี้แล้วสูญเปล่าอย่างไม่ได้อะไรเลย
ส่วนตัวละครสุดท้าย
ซึ่งตรงกับชื่อเรื่อง คือคนดำน้ำ อาจเปรียบได้กับ นักศึกษาหรือคนรุ่นใหม่ที่แสวงหาความคิดใหม่ๆ
ที่แปลกไปจากคนอื่น หรืออาจจะกล่าวรวมไปถึงเรื่องการเมืองที่นักศึกษาในยุคนั้นมีความสำคัญที่ทำให้การปกครองของประเทศมีการเปลี่ยนแปลง
ด้วยความคิดที่แปลกให้ แนวคิดที่แตกต่างออกไป ทำให้คนสมัยนั้นไม่เข้าใจในสิ่งที่นักศึกษาทำ
ประชาชนส่วนใหญ่ในยุคนั้นยังเชื่อในขนบธรรมเนียมที่เป็นแบบเก่าอยู่มาก จะเปลี่ยนแปลงอะไรนิดหน่อยบางครั้งก็เกิดการต่อต้าน
โดยอ้างเหตุผลเก่าๆ ว่าสังคมไทยเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
แทนที่จะลงมือศึกษาให้เห็นแจ้งก่อนค่อยออกมาแสดงความคิดเห็นหรือต่อต้าน
ที่สำคัญคือ สิ่งที่นักศึกษาทำนั้นมันชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีใครเข้าใจพวกเขา
หากนำเรื่องราวมาโยงให้สัมพันธ์กัน
โดยการแทนสัญลักษณ์จากข้างต้น อาจทำให้เราทราบว่า คนดำน้ำหรือนักศึกษา คือ
ต้นแบบของแนวคิดใหม่ ความคิดของพวกเขาเข้ามามีอิทธิพลกับคนทุกฝ่ายทุกอาชีพ
จะเห็นได้จาก การกระโดดน้ำลงไปในบึงแล้วส่งผลกระทบต่อ สองคน คือ
คนตกเบ็ดหรือข้าราชการ และคนแทงฉมวกหรือนักการเมือง ส่วน
คนเลี้ยงผักบุ้งจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบ ก็เหมือนปัจจุบัน
การเมืองจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เกษตรกรก็ยังเป็นชนชั้นรากหญ้าอยู่เหมือนเดิม
เมื่อความคิดใหม่ของนักศึกษาเข้ามามีบทบาทมากขึ้นจนเกิดเป็นพลัง
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น ตอนนี้
คนแทงฉมวกไม่แน่ใจที่ต่อไปจะแทงฉมวกอยู่หรือจะดำน้ำเพื่อหาปลาดี
เพราะสิ่งที่ตนทำอยู่ไม่มีความหมาย ก็เปรียบเหมือนการเมืองในสมัยนั้น
ที่สุดท้ายรัฐบาลก็ต้องยอมรับฟังพลังแห่งนักศึกษา
สุดท้ายคนที่เดินหันหลังให้นักศึกษาในสมัยนั้นก็คือนักการเมือง ดังนั้นสิ่งที่ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงในยุคนั้น
คือนักศึกษา กับ นักการเมืองเท่านั้น ส่วนคนที่ยังอยู่ที่เก่าและยังมองดูอยู่เฉยๆ
คือ ชนชั้นกรรมมาชีพ และข้าราชการ
ที่ไม่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงในเรื่องการเมืองการปกครอง
สุดท้ายแม้คนเราจะต่างความคิดเห็น
มีความคิดเป็นของตนเอง เชื่อมั่นในตนเองอย่างไร
แต่เมื่ออยู่ในสังคมเดียวกันเราทุกคนต้องปรับตัวเข้าหากัน
อย่าใช้อารมณ์ส่วนตัวตัดสินปัญหาส่วนร่วม หรือในเรื่องต่างๆก็ตามแต่
เมื่อมีถูกก็ต้องมีผิดเป็นธรรมดา มีเหมือนกันก็ต้องมีต่างกัน
การขับเคลื่อนไม่ว่าอะไรก็ต้องมีสองทิศทางเสมอ หารเปรียบรถกระบะคันหนึ่งเป็นสังคมและถนนที่อยู่ใต้ท้องรถเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีหรือสิ่งต่างๆที่สังคมยังไม่เปิดเผย
เราจะไม่รู้เลยว่าถนนที่อยู่ใต้ท้องรถเป็นอย่างไร
เราจะรู้ก็ต่อเมื่อรถคันนั้นขับเคลื่อนออกไปเราจึงจะเห็นถนนที่อยู่ใต้ท้องรถว่ามันเรียบหรือมันขรุขระ
การเมืองหรือด้านต่างๆก็เช่นกัน
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเราจึงจะเห็นข้อผิดพลาดหรือส่วนที่ดีของตนเอง
การอยู่ร่วมกันในสังคมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรตระหนัก ให้ความสำคัญ
เราจึงจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข